
จากกรณีที่ พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทุจริตเงินทอนวัด ประกอบด้วย
1. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
2. พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4-7
3. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 10
4. พระเมธีสุทธิกร (สังคม ญาณวฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
5. พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

ซึ่งต่อมา นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า หากอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. จะดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง หากดูพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนดำเนินการมาว่ามีมูล ก็จะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนต่อไป ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ทางตำรวจยังรวบรวมพยานหลักฐานไม่ได้มากนัก เพราะมีเวลาแค่ 30 วัน ก่อนที่จะส่งให้ ป.ป.ช. แต่ได้ให้นโยบายเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าให้เร่งรัดเรื่องนี้
ทั้งนี้ พระผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหานั้น คำนิยามใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับปัจจุบัน ไม่ได้ระบุว่า พระเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ถือว่าอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. ทั้งหมด ส่วนเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจรับเรื่องของ ป.ป.ช. และให้คณะทำงานไปแสวงหาข้อเท็จจริงก่อนว่ามีมูลพอที่จะรับไว้ดำเนินการไต่สวนหรือไม่

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในการรวบรวมข้อมูล เพื่อนำมาพูดคุยในรายละเอียด แต่แนวทางการทำงาน นายสุวพันธุ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะต้องเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องมองในทุกมิติ แต่เรื่องนี้หากผลออกมาชัดเจนแล้ว ก็เชื่อว่า ประชาชนคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ จะสามารถยอมรับได้
ภาพจาก ข่าวค่ำ Thai PBS News
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก








