วันที่ 2 พฤษภาคม 2561 มีรายงานว่า โรงพยาบาลนครปฐม ส่งผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตซึ่งทราบชื่อต่อมาคือ นางละออ สุระนันท์ อายุ 83 ปี โดยผู้สื่อข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ได้สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ น.ส.จิดารัตน์ ห่วงสุวรรณ ทราบว่า คุณยายป่วย แล้วก็ทรุดหนักได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน หลังเข้ารักษาตัวอาการก็ทรงตัว แต่อยู่ดี ๆ วันที่ 26 เมษายน ทางโรงพยาบาลโทร. มาหาตนถึง 3 ครั้ง
โดยครั้งแรก ถามว่า ได้เซ็นชื่อให้ส่งตัวคุณยายกลับหรือเปล่า ก็บอกกลับไปว่าไม่ได้เซ็น ก่อนที่ทางโรงพยาบาลจะวางสายไป จากนั้นก็โทร. กลับมาครั้งที่ 2 ถามว่า คุณยายมีลักษณะรูปพรรณอะไรที่มีข้อสังเกตไหม ก็บอกว่าไม่มี แต่จำได้ว่าคุณยายใส่กำไลข้อมือสีเขียว พอครั้งที่สาม โรงพยาบาลโทร. มาบอกอีกว่า ไม่ต้องตกใจและไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างโอเคคุณยายปลอดภัยแล้ว
น.ส.จิดารัตน์ บอกว่า พอโทร. มาถึง 3 ครั้ง ญาติก็เริ่มตกใจจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาล พยาบาลก็บอกว่าให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คุยกันไม่มีอะไรแล้ว ส่งตัวผู้ป่วยผิดไป ส่งตัวคุณยายละออกลับบ้านแต่เป็นบ้านของอีกคนหนึ่ง พร้อมบอกญาติ ๆ ว่าไม่ต้องเป็นห่วงคุณยายกำลังเดินทางกลับมาแล้ว
พอได้ฟังแบบนี้ญาติจึงรีบเดินไปดูที่เตียงก็พบว่า เป็นคนไข้ใหม่มาอยู่บนเตียงแทนคุณยาย เมื่อคุณยายกลับมาที่โรงพยาบาลก็ต้องเข้าห้องไอซียูด่วน หลังจากนั้นก็เสียชีวิต
ทางด้านโรงพยาบาลนครปฐม ได้แถลงยอมรับว่า โรงพยาบาลส่งคนไข้ผิดตัวจริง ซึ่งคนไข้มีอาการรุนแรงคล้ายกัน นอนอยู่ตรงข้ามกัน วันเกิดเหตุมีลูกชาย ลูกสาวมาแจ้งว่าจะรับแม่กลับบ้าน ยอมรับว่าระบบการตรวจสอบเช็กหลักฐานตัวตนผิดพลาด เพราะมั่นใจว่าลูกน่าจะจำแม่ตัวเองได้
ขณะที่ ดร. นพ.พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ผิดพลาดไม่ได้ตรวจสอบการรับผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นผู้ป่วยทั้งสองคนเป็นหญิงอายุ 83 ปี เหมือนกัน มีอาการป่วยวิกฤต แพทย์ที่รักษาได้แจ้งให้ญาติทราบว่า ทำการรักษาได้เพียงประคองอาการไปเท่านั้น และต้องเจาะคอใส่เครื่องช่วยหายใจเพิ่ม ทางญาติของครอบครัวทั้งสองจึงไม่ขอรับการเจาะคอเพิ่ม เพราะต้องการให้ผู้ป่วยจากไปแบบไม่ทรมาน
ดร. นพ.พิศิษฐ์ เผยอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ แต่ส่วนหนึ่งทางญาติที่มารับก็ต้องรู้ว่าผู้ป่วยที่จะมารับคือคนไหน ชื่ออะไร เพราะผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤตและแก่ชรา จะมีใบหน้าคล้ายกัน ทั้งนี้ ตนได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่ประมาท พร้อมสั่งปรับปรุงระบบพัฒนาการรับผู้ป่วยกลับบ้านอย่างเข้มงวด
โดยทางเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขได้เข้าไปเยียวยาและขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งสองครอบครัวแล้ว พร้อมจะรับผิดชอบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นกรณีอุทาหรณ์ด้านสาธารณสุข
