อัยย์ เพชรทอง ลูกศิษย์วัดธรรมกาย ยันวัดธรรมกายไม่ใช่ที่ซ่อนพระผู้ใหญ่ 2 รูป ที่หลบหนีคดีเงินทอนวัด หลัง ดร.นพ. มโน อ้างมีคนที่วัดโทร. บอก
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานความคืบหน้าคดีเงินทอนวัด ที่เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้มีการจับกุมและส่งตัวฝากขังอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป แต่ยังเหลือพระอีก 2 รูป ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี คือ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และเจ้าคณะภาค 10 และ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ตามที่มีรายงานไปนั้น (อ่านข่าว : จับสึกหมด 5 พระชั้นผู้ใหญ่ พร้อมฝากขังผลัดแรก ปมเอี่ยวฟอกเงินคดีเงินทอนวัด)
โดย ดร.นพ. มโน เลาหวณิช รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต เปิดเผยว่า ตนเองทราบว่า พระพรหมสิทธิ ได้กลับมาจากประเทศสิงคโปร์แล้วตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพราะยังเห็นมาประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อ 2 วันก่อนถูกเจ้าหน้าที่บุกค้นวัด ตนเองเชื่อว่าวัดธรรมกายอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีคนของวัดพระธรรมกาย โทร. มาบอกกับตนว่า มีคนช่วยเหลือพระพรหมสุทธิ ในการหลบหนี และให้ที่พักพิง เพราะทั้ง 3 วัดดังกล่าว มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางวัดพระธรรมกาย
![เงินทอนวัด เงินทอนวัด]()
ด้าน พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ เผยว่า ตนเองก็เชื่อเช่นกันว่าพระพรหมสิทธิ ต้องรู้เรื่องราวล่วงหน้าว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับ เพราะมีคนบอกให้ท่านหลบหนีไปก่อน แต่มั่นใจว่ายังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย
ทั้งนี้ นายอัยย์ เพชรทอง ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย เปิดเผยโต้แย้งว่า ทางวัดธรรมกายไม่ได้มีการให้ที่หลบซ่อนพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสัมพันธวงฯ แน่นอน ตนเองในฐานะศิษย์ธรรมกายรู้สึกชินที่ทุกครั้งมีข่าวเรื่องพระทางวัดก็ต้องถูกโยงไปข้องเกี่ยวด้วย ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อวัดธรรมกายเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ หากเป็นตนก็คงจะไม่มาหลบที่นี่แน่นอน
นายอัยย์ กล่าวต่อว่า เรื่องราวดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายมาก ตนอยากให้สังคมลองคิดว่าการอยู่ในสถานะภาพของพระสงฆ์ ที่บางคนบวชเพียงไม่กี่วันนั้นยังอยู่ยาก แต่พระชั้นผู้ใหญ่บวชมาหลายสิบปี กลับมาถูกจับสึกทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ โดยที่ไม่นึกถึงใจของพระที่ถูกกล่าวหา การนำกฎหมายมาใช้กับพระ ก็จะส่งผลเสียเช่นนี้ พระไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ตนเองเชื่อว่าเรื่องของคดีเงินทอนวัด บางครั้งพระผู้ใหญ่มีหน้าที่เซ็นเอกสารเท่านั้น อาจไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ จึงอาจจะไม่รู้ว่ากำลังกระทำผิด
ขณะที่ พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจค้นกุฏิของพระพรหมเมธี ว่า จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้พบหลักฐานบางอย่างแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ จึงจะต้องดำเนินการติดตามตัวพระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 2 รูป มาดำเนินคดี เนื่องจากทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย โดยยืนยันว่าการดำเนินการนั้น ทำถูกต้องตามหลักยุทธิวิธี แต่อาจจะไม่ถูกใจบางคน
ภาพและข้อมูลจาก


เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานความคืบหน้าคดีเงินทอนวัด ที่เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้มีการจับกุมและส่งตัวฝากขังอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป แต่ยังเหลือพระอีก 2 รูป ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี คือ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และเจ้าคณะภาค 10 และ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ตามที่มีรายงานไปนั้น (อ่านข่าว : จับสึกหมด 5 พระชั้นผู้ใหญ่ พร้อมฝากขังผลัดแรก ปมเอี่ยวฟอกเงินคดีเงินทอนวัด)

โดย ดร.นพ. มโน เลาหวณิช รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต เปิดเผยว่า ตนเองทราบว่า พระพรหมสิทธิ ได้กลับมาจากประเทศสิงคโปร์แล้วตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพราะยังเห็นมาประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อ 2 วันก่อนถูกเจ้าหน้าที่บุกค้นวัด ตนเองเชื่อว่าวัดธรรมกายอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีคนของวัดพระธรรมกาย โทร. มาบอกกับตนว่า มีคนช่วยเหลือพระพรหมสุทธิ ในการหลบหนี และให้ที่พักพิง เพราะทั้ง 3 วัดดังกล่าว มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางวัดพระธรรมกาย

ด้าน พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ เผยว่า ตนเองก็เชื่อเช่นกันว่าพระพรหมสิทธิ ต้องรู้เรื่องราวล่วงหน้าว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับ เพราะมีคนบอกให้ท่านหลบหนีไปก่อน แต่มั่นใจว่ายังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย


นายอัยย์ กล่าวต่อว่า เรื่องราวดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายมาก ตนอยากให้สังคมลองคิดว่าการอยู่ในสถานะภาพของพระสงฆ์ ที่บางคนบวชเพียงไม่กี่วันนั้นยังอยู่ยาก แต่พระชั้นผู้ใหญ่บวชมาหลายสิบปี กลับมาถูกจับสึกทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ โดยที่ไม่นึกถึงใจของพระที่ถูกกล่าวหา การนำกฎหมายมาใช้กับพระ ก็จะส่งผลเสียเช่นนี้ พระไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ตนเองเชื่อว่าเรื่องของคดีเงินทอนวัด บางครั้งพระผู้ใหญ่มีหน้าที่เซ็นเอกสารเท่านั้น อาจไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ จึงอาจจะไม่รู้ว่ากำลังกระทำผิด

ขณะที่ พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจค้นกุฏิของพระพรหมเมธี ว่า จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้พบหลักฐานบางอย่างแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ จึงจะต้องดำเนินการติดตามตัวพระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 2 รูป มาดำเนินคดี เนื่องจากทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย โดยยืนยันว่าการดำเนินการนั้น ทำถูกต้องตามหลักยุทธิวิธี แต่อาจจะไม่ถูกใจบางคน
ภาพและข้อมูลจาก
