เปิดบทลงโทษประหารชีวิต 21 สถาน ตามกฎหมายตราสามดวง ทั้งใช้คีมคีบก้อนเหล็กใส่ลงในสมอง ไปจนถึงตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย บังคับใช้ตั้งแต่สมัย ร.1 ก่อนจะยกเลิกสมัย ร.5
ย้อนไปเมื่อครั้งสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่าที่มีมาแต่โบราณเรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้ได้กล่าวถึงบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำผิด อย่างเช่นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการทำผิดในข้อ "พระอัยการกบฏศึก"
สำหรับโทษประหารชีวิตในบทบัญญัติพระอัยการกบฏศึก มีการกำหนดบทลงโทษ 21 สถาน ดังนี้
1. ให้ต่อยกบาลศีรษะเลิกออกเสีย แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใส่ลง ให้มันสมองศีรษะพลุ่งฟูขึ้นดังหม้อเคี่ยวน้ำส้มพะอูม
3. ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้แล้วตามดวงไฟไว้ในปาก หรือนัยหนึ่ง เอาปากสิ่วอันคมแหวะผ่าปากจนใบหูทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตออกเต็มปาก
4. เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วกายแล้วเอาเพลิงจุด
5. ให้เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วมือทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด
6. เชือดเนื้อให้เป็นแร่งเป็นริ้วอย่าให้ขาด ให้เนื่องด้วยหนังตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำให้เดินเหยียบย่ำริ้วเนื้อหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปจนกว่าจะตาย
16. ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
17. ให้แทงด้วยหอกทีละน้อย ๆ กว่าจะตาย
18. ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้ แล้วไถด้วยเหล็กให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
19. ให้เชือดเนื้อลํ้าออกทอดด้วยนํ้ามันเหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตนเอง
20. ให้ตีด้วยไม้ตะบองสั้นตะบองยาว เป็นต้น
21. ให้ตีด้วยไม้หวายทั้งหนาม
ทั้งนี้ กฎหมายตราสามดวงเป็นกฎหมายหลักของประเทศที่ใช้บังคับมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะเวลานานถึง 103 ปี จนกระทั่งมีการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลตามแบบประเทศมหาอำนาจยุโรป จึงได้เลิกใช้กฎหมายตราสามดวง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เว็บไซต์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, wikipedia, silpathai.net
นับว่าเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย กรณีที่ศาลตัดสินประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดชาย ธีรศักดิ์ หลงจิ คดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณ เมื่อปี 2555 ซึ่งเรื่องนี้กลายมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากประเทศไทย ไม่มีโทษประหารชีวิตมานานถึง 9 ปี [อ่านข่าว : กรมราชทัณฑ์ ประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาด คดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณ ในรอบ 9 ปี]
ย้อนไปเมื่อครั้งสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่าที่มีมาแต่โบราณเรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้ได้กล่าวถึงบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำผิด อย่างเช่นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการทำผิดในข้อ "พระอัยการกบฏศึก"
โดยคำว่า กบฏศึก ตามกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้หมายความเฉพาะว่าเป็นเรื่องการยึดอำนาจการปกครองประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงการทำผิดร้ายแรงที่มีผลต่อความมั่นคงในอาณาจักร และขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง เช่น ปล้นพระนคร เผาพระราชวัง ปล้นและเผาวัด ฆ่าบิดามารดาครูบาอาจารย์ ลักพา กระทำทารุณตัดมือตัดเท้า และฆ่าเด็กทารก โทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำผิดที่มีลักษณะรุนแรงให้ผู้ถูกลงโทษได้รับความทรมาน
สำหรับโทษประหารชีวิตในบทบัญญัติพระอัยการกบฏศึก มีการกำหนดบทลงโทษ 21 สถาน ดังนี้
1. ให้ต่อยกบาลศีรษะเลิกออกเสีย แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใส่ลง ให้มันสมองศีรษะพลุ่งฟูขึ้นดังหม้อเคี่ยวน้ำส้มพะอูม
2. ให้ตัดแต่หนังจากเบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงใบหูทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหนังบริเวณคอถึงท้ายทอยเป็นกำหนดแล้วให้ม้วนผมเข้าหากัน เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกถอนคลอนสั่น เพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกบาลศีรษะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์
ภาพจาก เว็บไซต์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
4. เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วกายแล้วเอาเพลิงจุด
5. ให้เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วมือทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด
6. เชือดเนื้อให้เป็นแร่งเป็นริ้วอย่าให้ขาด ให้เนื่องด้วยหนังตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำให้เดินเหยียบย่ำริ้วเนื้อหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปจนกว่าจะตาย
7. เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวแล้วเชือดแต่เอวให้เป็นแร่งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้า กระทำเนื้อเบื้องบนนั้นให้เป็นริ้วตกปกคลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้าคากรอง
8. เอาห่วงเหล็ก สวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเท้าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักเหล็กสอดลงในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงลนให้รอบตัวกว่าจะตาย
9. เอาเบ็ดใหญ่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วกาย เพิกหนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมากว่าจะตาย
10. ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกาย แต่ทีละตำลึงกว่าจะสิ้นมังสะ
11. ให้แล่ สับ ฟันทั่วกายแล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูด ขุดเซาะหนังแลเนื้อ แลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกมาให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก
12. ให้นอนลงโดยข้าง ๆ หนึ่ง (ตะแคงข้าง) แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไป โดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับเท้าทั้งสองหันเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน
8. เอาห่วงเหล็ก สวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเท้าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักเหล็กสอดลงในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงลนให้รอบตัวกว่าจะตาย
9. เอาเบ็ดใหญ่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วกาย เพิกหนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมากว่าจะตาย
10. ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกาย แต่ทีละตำลึงกว่าจะสิ้นมังสะ
11. ให้แล่ สับ ฟันทั่วกายแล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูด ขุดเซาะหนังแลเนื้อ แลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกมาให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก
12. ให้นอนลงโดยข้าง ๆ หนึ่ง (ตะแคงข้าง) แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไป โดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับเท้าทั้งสองหันเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน
ภาพจาก silpathai.net
13. ทำมิให้เนื้อพังหนังขาด เอาลูกศิลาบดทุบกระดูกให้แหลกย่อยแล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขนหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอมแล้วพับเนื้อกระดูกนั้นทอดวางไว้ ทำดังตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งวางไว้เช็ดเท้า
14. เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วรดสาดลงมาแต่ศีรษะกว่าจะตาย
15. ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ ให้อดอาหารหลายวันให้เต็มอยาก แล้วปล่อยออกให้กัดทั้งเนื้อหนังกิน ให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
14. เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วรดสาดลงมาแต่ศีรษะกว่าจะตาย
15. ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ ให้อดอาหารหลายวันให้เต็มอยาก แล้วปล่อยออกให้กัดทั้งเนื้อหนังกิน ให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
16. ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
17. ให้แทงด้วยหอกทีละน้อย ๆ กว่าจะตาย
18. ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้ แล้วไถด้วยเหล็กให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
19. ให้เชือดเนื้อลํ้าออกทอดด้วยนํ้ามันเหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตนเอง
20. ให้ตีด้วยไม้ตะบองสั้นตะบองยาว เป็นต้น
21. ให้ตีด้วยไม้หวายทั้งหนาม
ทั้งนี้ กฎหมายตราสามดวงเป็นกฎหมายหลักของประเทศที่ใช้บังคับมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะเวลานานถึง 103 ปี จนกระทั่งมีการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลตามแบบประเทศมหาอำนาจยุโรป จึงได้เลิกใช้กฎหมายตราสามดวง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เว็บไซต์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, wikipedia, silpathai.net







