นักดำน้ำในถ้ำ 2 คนที่นำตัวหมูป่าออกจากถ้ำหลวง เปิดใจครั้งแรก ถึงปฏิบัติการสุดอันตราย กับเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดในปฏิบัติการวันสุดท้าย
"เราจะนำพวกเขาออกมา แต่ก็มีโอกาสที่บางคนจะไม่รอด"
นี่คือคำเตือนที่ เจสัน มัลลินสัน วัย 50 ปี และ คริส จีเวลล์ วัย 35 ปี คู่หูนักดำน้ำผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษ ได้รับทราบก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อสมทบทีมนักดำน้ำในปฏิบัติการกู้ภัยในถ้ำ ซึ่งขึ้นชื่อว่ายากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณประสบการณ์ของพวกเขา การวางแผนอันรัดกุม และความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายจากนานาประเทศ ที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายที่สุดหรือความสูญเสียที่พวกเขาหวาดหวั่น ไม่ได้เกิดขึ้น และยังสามารถนำตัว 13 ชีวิตทีมหมูป่าฯ รวมถึงหน่วยซีลที่อยู่กับพวกเขา ออกมาจากถ้ำหลวง ได้อย่างปลอดภัย
หลังจากภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ เจสัน มัลลินสัน กับ คริส จีเวลล์ จะออกมาเปิดใจเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงช่วงนาทีวิกฤตเป็นครั้งแรก ผ่านทางรายงานของเว็บไซต์เดลี่เมล เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2561
สำหรับ มัลลินสัน เขาเป็นหนึ่งในนักดำน้ำที่มีประสบการณ์เกือบ 30 ปี และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ภัยในถ้ำจากสภาผู้กู้ภัยในถ้ำแห่งสหราชอาณาจักร เขากับ จีเวลล์ ถูกขอให้เดินทางมาที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เพื่อสมทบกับ ริค สแตนตัน และ จอห์น โวลันเธน ที่เจอตัวทั้ง 13 คนอยู่บริเวณเนินนมสาว ของถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน
ภารกิจของพวกเขาหลังเดินทางมาถึงไทยในวันที่ 6 กรกฎาคม คือการทำความคุ้นเคยกับจุดอันตรายในถ้ำที่มีน้ำท่วมขังยาวเป็นกิโลเมตร มันเป็นช่องแคบ ๆ ที่ยากจะให้เด็ก ๆ หนีออกมา นอกจากนี้พวกเขายังต้องทดสอบคุณภาพของออกซิเจนในจุดที่ทั้ง 13 คนและหน่วยซีลอยู่ด้วยกัน ซึ่งทันทีที่มัลลินสันเข้าไปถึง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคุณภาพอากาศนั้นแย่มาก
นอกจากนี้มัลลินสันที่นำสมุดโน้ตเข้าไปด้วย ยังคิดว่าการที่ให้เด็กเขียนข้อความสั้น ๆ ส่งมาถึงครอบครัว จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นสปิริตของเด็ก ๆ และให้กำลังใจครอบครัวที่รออยู่ด้านนอกได้ ซึ่งหลังจากจัดการเรื่องนี้ตลอดจนตรวจเช็กสภาพอากาศในถ้ำ วิเคราะห์ระดับออกซิเจนในเลือดของแต่ละคนแล้ว ก็ถึงเวลาที่มัลลินสันกับจีเวลล์จะดำน้ำกลับออกมา ซึ่งมัลลินสันยอมรับว่า เขาไม่อาจเลี่ยงความคิดว่า "มันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นหน้าเด็ก"
มัลลินสัน เผยว่า เขากับจีเวลล์แลกเปลี่ยนความคิดกัน และลงความเห็นว่ามันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะนำเด็กออกมาจากที่นั่นได้ เขาไม่คิดเลยว่าคนเหล่านี้จะรอดชีวิตจากฤดูฝนได้ หากถูกทิ้งไว้ในถ้ำถึง 4 เดือน ตามที่หวังกันไว้ก่อนหน้านี้
มัลลินสันยังเผยว่า เพื่อที่จะเริ่มปฏิบัติการซึ่งต้องแข่งกับเวลาที่ใกล้จะหมดลงทุกที พวกเขาต้องมาช่วยกันวางแผน จัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เปลี่ยนถังออกซิเจนให้เรียบร้อย เขากับจีเวลล์ พร้อมด้วยนักดำน้ำอีก 2 คน ต้องเข้าไปช่วยเด็ก ๆ เตรียมความพร้อมเพื่อที่จะดำน้ำ ต้องจับจังหวะการหายใจของแต่ละคนให้ได้ นอกจากนี้พวกเขายังได้ลองนำหน้ากากฟูลเฟซมาสก์ ออกมาทดลองใช้กับเด็กคนอื่น และทำการซักซ้อมปฏิบัติการกันที่สระว่ายน้ำด้านนอกถ้ำ
จนเมื่อปฏิบัติการเริ่มขึ้น นักดำน้ำต้องเข้ามาช่วยเด็ก ๆ ใส่เวทสูท เช็กให้มั่นใจว่าหน้ากากมีซีลกันน้ำอยู่รอบใบหน้า ก่อนที่จะค่อย ๆ ลำเลียงพวกเขาออกมาแบบ 1 ต่อ 1 ท่ามกลางความมืดมิดของน้ำที่ขุ่นมัว จนมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง ซึ่งระหว่างนั้นบางครั้งพวกเขาให้เด็กอยู่ในท่านอนคว่ำ ค่อย ๆ ผลักเด็กไปด้านหน้าผ่านช่องทางต่าง ๆ บางจุดให้เด็กอยู่ด้านล่าง โดยที่พวกเขาคอยจับสายรัดที่อยู่ด้านหลัง นักดำน้ำต้องค่อย ๆ ดึงตัวเด็กมาพร้อมกับใช้อีกมือถือถังอากาศของเด็ก
นักดำน้ำต้องจับสายนำทางตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้พวกเขากับเด็ก ๆ หลงทางอยู่ใต้น้ำ พวกเขาค่อย ๆ
นำเด็กดำน้ำออกไปจนถึงจุดหนึ่ง เพื่อส่งต่อให้ทีมงานคนอื่น ๆ
รับช่วงพาเด็กออกไปต่อกันเป็นทอด ๆ
มันเป็นภารกิจที่กดดันด้วยความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
นั่นคือชีวิตคนที่พวกเขาต้องช่วย
มัลลินสันยังเผยอีกว่า ปกติแล้วคนที่ดำน้ำในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องสวมถุงมือนีโอพรีนเพื่อป้องกันมือของตัวเอง แต่เพื่อให้พวกเขาคลำทางถูกและปกป้องเด็ก ๆ จากหินงอก หินย้อย ทั้งเขาและจีเวลล์เลือกที่จะถอดถุงมือออก ซึ่งนั่นทำให้มือและโคนนิ้วของจีเวลล์มีรอยบอบช้ำหนักมาก
อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้หน้ากากของเด็ก ๆ ไปกระแทกกับผนังถ้ำจนแตก ในบางจุดที่มองไม่เห็นอะไรพวกเขาต้องนำหน้าของตัวเองมาอยู่ใกล้หน้าเด็ก เพื่อที่หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หน้ากากของพวกเขาจะได้กระแทกโดนผนังถ้ำก่อนเด็ก ๆ
แต่แม้จะระมัดระวังกันขนาดไหน เหตุผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้
ในปฏิบัติการวันสุดท้าย ขณะที่จีเวลล์นำตัวหมูป่าคนหนึ่งออกไปจากโถง 4
มุ่งสู่โถง 3 เขาได้พลาดทำมือหลุดจากสายนำทาง ท่ามกลางทัศนวิสัยเป็นศูนย์
มันเป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ดำเนินไป 4 นาทีเต็ม เขากวาดมือไปรอบ ๆ
เพื่อจะหาสายนำทาง กระทั่งในที่สุดเขาก็คว้าเอาสายไฟ
ที่นำทางเขาย้อนกลับไปสู่โถง 4 อีกครั้ง
คริส จีเวลล์ (คนที่ 2 จากขวา)
ภาพจาก Chris Jewell
ภาพจาก Chris Jewell
จีเวลล์ที่รู้ตัวว่ากลับมาถึงโถง 4 แล้ว ได้พยายามปลอบเด็ก และหยุดรอมัลลินสัน ซึ่งนำหมูป่าคนหนึ่งออกไปแล้วกำลังย้อนมารับตัวหมูป่าคนสุดท้าย กระทั่งในที่สุดพวกเขาก็พาตัวหมูป่าทุกคนออกมาได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้แม้ว่ามัลลินสันและจีเวลล์จะพยายามไม่ตั้งความหวังอะไรจนเกินไป พยายามนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายไว้เสมอ แต่พวกเขาก็ยอมรับว่าในปฏิบัติการรอบสุดท้าย มันทำให้พวกเขาคิดขึ้นมาได้จริง ๆ ว่า "เราทำได้แล้ว !"
มัลลินสันยังได้เผยถึงอีกหนึ่งความประทับใจของเขาในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยว่า
เด็ก ๆ นั้นกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาไม่เห็นสัญญาณการแตกตื่นของพวกเขาเลยสักคน
แม้การดำน้ำนั้นอาจจะทำให้จิตใจไม่สงบนิ่งก็ตาม