โจรอุ้มหมาหวิดถูกรุมทำร้าย ขณะคุมตัวมาโรงพัก ด้านเพื่อนบ้านเผยไม่รู้มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ ยันเช่าอยู่ได้แค่ 2 วันก่อนถูกจับ - เหยื่อเปิดภาพวิธีก่อเหตุ ใช้ผ้าอ้อมลูกฉกทรัพย์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (29 สิงหาคม 2561) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานว่า มีประชาชนผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ตลอดระยะเวลาก่อเหตุนาน 15 ปี ได้เดินทางมายังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อมาดูหน้าผู้ก่อเหตุ และรอฟังการแถลงข่าวการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยผู้เสียหายทั้งหมดได้ตะโกนด่า สาปแช่งผู้ต้องหา และมีบางส่วนพยายามฝ่าการคุ้มกันของเจ้าหน้าที่เพื่อหวังเข้าทำร้ายผู้ต้องหา เนื่องจากความโกรธแค้น
โดย พล.ต.ท. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยผลการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การรับสารภาพทั้งหมด ยอมรับว่า ช่วงแรกใช้วีธีอุ้มลูกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเหยื่อ แต่เมื่อลูกโตขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นอุ้มสุนัขแทน ก่อเหตุประมาณ 10 ครั้งต่อเดือน ตลอดระยะเวลา 15 ปี ซึ่งทรัพย์สินที่ได้จะเอาไปจำนำหรือขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย
ขณะเดียวกัน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านพักภายในซอยพหลโยธิน 52 ที่จับกุมผู้ต้องหาได้ เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ สูง 2 ชั้น เพื่อนบ้านรายหนึ่งเปิดเผยว่า ตนอยู่บ้านหลังถัดไปจากบ้านผู้ต้องหาประมาณ 4 หลัง เพิ่งรู้ว่าผู้ต้องหามาพักอาศัยอยู่ที่นี่ก็เมื่อตอนเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุม เพราะบ้านหลังดังกล่าวติดป้ายขาย ก่อนที่ผู้ต้องหาจะมาอยู่ได้ประมาณ 1-2 วัน แต่ที่ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ เพราะไม่เคยเห็นหน้าว่าคนที่มาอยู่นั้นคือใคร ถ้ารู้ก็คงแจ้ง เพราะตนก็ติดตามข่าว และจำหน้าได้แม่น ซึ่งก็ไม่คิดว่าผู้ต้องหาจะมาอยู่บ้านใกล้ตนขนาดนี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

ความคืบหน้าคดีโจรอุ้มหมา หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว นายอภิชาติ บุญเรือง อายุ 42 ปี และ นางสาวอุษา เกษมณี หรือ ฑิญาตา บุญเรือง อายุ 38 ปี สองสามีภรรยา ได้ที่บ้านพักภายในซอยพหลโยธิน 52 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. ตามที่มีรายงานไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : รวบแล้ว 2 ผัวเมีย ฉายาโจรอุ้มหมา สิ้นลายหลังลอยนวลก่อเหตุนาน 15 ปี)
พล.ต.ท. สุวัฒน์ เผยถึงสาเหตุที่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ตลอดระยะเวลา 15 ปี เนื่องจากผู้ต้องหาใช้วิธีหาใบขับขี่และบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลอื่นที่หน้าตาคล้ายกันมาใช้ ใช้ชื่อของบุคคลอื่นในการแสดงตัวทุกครั้งที่ถูกตำรวจเรียกตรวจ และย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ รวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ อาทิ รถยนต์ บ้านและห้องเช่าก็จะใช้ชื่อของบุคคลอื่นทั้งหมด และเบื้องต้นจะมีการตรวจสอบหาทรัพย์สินมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ที่ผู้ต้องหานำไปเก็บไว้ว่าอยู่ที่ใด โดยจะใช้กฎหมายการฟอกเงินในการตรวจสอบ รวมถึงจะตรวจสอบญาติ ๆ ที่รู้เห็นพาผู้ต้องหาหลบหนีด้วย
ทั้งนี้ นางสมัย ทรัพย์อนันต์กุล อายุ 58 ปี ผู้เสียหายที่เดินทางมาดูทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป เปิดเผยด้วยความดีใจว่า ตนไม่คิดว่าจะได้ของคืน ซึ่งเป็นธนบัตรเก่าและใหม่ที่คนร้ายขโมยไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ด้วยวิธีการคือ เข้ามาทำทีซื้อร้องเท้าเด็กที่ร้านตน พร้อมกับอุ้มเด็กและถือร่มเข้ามาในร้าน ก่อนจะปล่อยให้เด็กเดินในร้านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจตน และอาศัยจังหวะนั้นหยิบกระเป๋าที่มีเงินและมือถือของตนหลบหนีไป
ขณะที่ นายศักย์ศรณ์ จิระตระการวงศ์ หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยภาพและวิธีการก่อเหตุของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด จับภาพขณะนายอภิชาติ อุ้มลูกสาวเข้ามาในร้านลูกโป่งสวรรค์ โดยอาศัยจังหวะคนในร้านเผลอ หยิบเอาทรัพย์สินใส่ในผ้าอ้อมเด็ก แล้วหลบหนีออกจากร้านทันที
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


















