ซีพี ออลล์ ชนะคดีกรณีถูกกล่าวหาก๊อบปี้สินค้าบานาน่า หลังตกเป็นจำเลยสังคมกว่า 3 ปี - คนเขียนบทความยอมรับไร้มูล
บริษัทจึงได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่นายชิน ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องและเสนอสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการ
บริษัทจึงได้แสดงน้ำใจโดยไม่ต้องการดำเนินคดีกับบุคคลที่ได้รู้สำนึกและไม่ใช่ตัวการที่แท้จริง ด้วยการถอนคำร้องทุกข์ ไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาและไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย จากนายชิน คดีจึงได้ระงับไปตามคดีอาญาแดงที่ อ.987/2560
แต่นายชิน กลับไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ได้กระทำต่อหน้าศาล บริษัทจึงจำเป็นต้องฟ้องนายชิน ในข้อหาผิดสัญญาต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.860/2560 และเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.1323/2561 ว่า นายชิน เป็นฝ่ายผิดสัญญา และให้นายชิน ลงประกาศบันทึกในเว็บไซต์โอเคเนชั่น ภายใน 7 วัน และให้ลงต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 8 เดือน และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท จำนวน 80,000 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความด้วย
ภายหลังที่บริษัทได้ทราบบุคคลที่เป็นตัวการที่ให้ข้อมูลและเนื้อหาที่นายชินนำไปลงบทความในเว็บไซต์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจำเป็นต้องทำความจริงให้ปรากฏด้วยการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลที่เป็นตัวการหรือผู้ใช้และบคุคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน
ตามที่ เมื่อวันที่ 21-22 เมษายน 2558 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ถูก นายชิน รติธรรมกุล เขียนและเผยแพร่บทความหมิ่นประมาท จำนวน 2 ตอน ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น ในทำนองว่า บริษัท ซีพีฯ เป็นบริษัทใหญ่ แต่ไปรังแกผู้ประกอบการรายย่อยที่เสนอสินค้าเข้ามาขายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ด้วยการลอกเลียนสูตรสอดไส้ครีมคัสตาร์ดรสกล้วย ของผู้ประกอบการรายย่อย แล้วนำไปทำการค้าหาประโยชน์เอง อันเป็นการรังแก เอาเปรียบผู้ประกอบการรายย่อย โดยบทความดังกล่าวถูกส่งต่อในสังคมออนไลน์ และเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ อย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ในการประกอบการของบริษัทตลอดมานั้น
บริษัทจึงได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่นายชิน ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องและเสนอสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการ
ต่อมา พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ ฟ้องนายชิน เป็นจำเลย ข้อหาหมิ่นประมาทตามบทกฎหมายดังกล่าวต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2843/2559 ซึ่ง นายชิน ได้เปิดเผยความจริงว่า นายชิน ได้รับข้อมูลและเนื้อหาบทความดังกล่าวมาจาก นางสาว พ. โดยที่นายชินเองก็ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่ และได้จัดทำบทความไปโดยไม่เคยสอบถามความเป็นจริงจากบริษัท ซึ่งบริษัทได้แสดงหลักฐานในการดำเนินคดี ให้เห็นว่า บริษัทไม่มีการกระทำใดที่จะไปกระทำหรือเอาเปรียบผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งนายชินได้ทำหนังสือแสดงความรู้สึกเสียใจและขอโทษบริษัทต่อหน้าศาล โดยนายชิน ยินดีที่จะแก้ไขฟื้นฟูความเสียหายของบริษัท ด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและจะเผยแพร่บันทึกประนีประนอมยอมความระหว่างบริษัท กับนายชิน และเอกสารย่อคำฟ้องคดีอาญา ที่แสดงถึงเหตุการณ์ในเรื่องนี้ ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ 29 มีนาคม 2560 และจะลงติดต่อกันจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560
แต่นายชิน กลับไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ได้กระทำต่อหน้าศาล บริษัทจึงจำเป็นต้องฟ้องนายชิน ในข้อหาผิดสัญญาต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.860/2560 และเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.1323/2561 ว่า นายชิน เป็นฝ่ายผิดสัญญา และให้นายชิน ลงประกาศบันทึกในเว็บไซต์โอเคเนชั่น ภายใน 7 วัน และให้ลงต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 8 เดือน และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท จำนวน 80,000 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความด้วย
ภายหลังที่บริษัทได้ทราบบุคคลที่เป็นตัวการที่ให้ข้อมูลและเนื้อหาที่นายชินนำไปลงบทความในเว็บไซต์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจำเป็นต้องทำความจริงให้ปรากฏด้วยการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลที่เป็นตัวการหรือผู้ใช้และบคุคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน
ทั้งนี้ บริษัทมีความจำเป็นต้องชี้แจงให้ประชาชนและคู่ค้าของบริษัทได้รับทราบถึงข้อเท็จจริง เพื่อแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บริษัท และเพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงการใช้วิจารณญาณ ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลใด ๆ ในสังคมออนไลน์ รวมตลอดถึงเพื่อป้องปรามมิให้บุคคลอื่นใดแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยการใส่ความผู้อื่น หรือการทำการตลาดด้วยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังที่เกิดกับบริษัทอีกต่อไปด้วย