พิธีกรเกือบตาย หลังไปรักษาสิวตรงหางตาที่คลินิกดัง พบหมอแอบฉีดสเตียรอยด์รักษาจนติดเชื้อ เผยอยู่ระหว่างปรึกษาทนายเตรียมฟ้องเอาเรื่อง
สืบเนื่องจากกรณีเพจเฟซบุ๊ก ห้องสืบ
เปิดเผยเรื่องราวของพิธีกรสาวที่เกือบเสียชีวิต
หลังไปรักษาสิวตรงบริเวณหางคิ้วกับคลินิกชื่อดัง
ก่อนถูกฉีดสาร
สเตียรอยด์เข้าไป หวิดตาบอดและเสียชีวิต
ล่าสุด
(5 กันยายน 2561) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานบทสัมภาษณ์
นางสาวฟาริดา (สงวนนามสกุล) พิธีกรสาวผู้เสียหาย เปิดเผยว่า
ตนเป็นสิวจากการเป็นประจำเดือนที่หางคิ้ว
จึงตั้งใจจะเข้าไปที่คลินิกเพื่อรักษาด้วยการกินยา หรือทายาเท่านั้น
แต่ทางคลินิกดังกล่าวกลับแจ้งว่าสิวแบบนี้ต้องรักษาเป็นคอร์ส
ไม่เช่นนั้นจะปวดไม่หาย ตนจึงตกลง
โดยหมอมีการฉีดยาที่อ้างว่าเป็นยาอักเสบ
แต่ตนมารู้ภายหลังว่าที่จริงคือสเตียรอยด์ ก่อนจะมีการกดสิวออก
วันที่เกิดเหตุประมาณวันที่ 8-9 สิงหาคม
ซึ่งตอนนั้นตนก็เอะใจในเรื่องความสะอาดอยู่บ้าง
เนื่องจากตนแต่งหน้าจัดเพราะทำงาน
แต่ตอนที่รักษาหมอทำแค่ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดจุดที่จะฉีด 2 ที แล้วฉีดเลย
และเข็มที่ใช้ก็ถูกวางอยู่ที่ถาดเครื่องมืออยู่แล้ว
ตนไม่เห็นว่าถูกหยิบหรือฉีกซองใหม่
นางสาวฟาริดา
เผยต่อว่า หลังจากนั้น 4 วัน ที่แผลเริ่มมีอาการบวม
เมื่อจับดูพบลักษณะคล้ายมีถุงน้ำและผิวหนังมีสีคล้ำคล้ายผิวไหม้
แต่ตนไม่มีเวลาจึงปล่อยไว้เพราะคิดว่าน่าจะหายเอง แต่ผ่านไปจนวันที่ 15-16
สิงหาคม แผลก็ยังไม่หาย ซ้ำยังลามลงมาที่ใต้ตา
ตนจึงเข้าไปที่คลินิกดังกล่าวอีกครั้ง บอกให้เอาถุงน้ำออก
หมอบอกว่าต้องฉีดซ้ำ เหมือนว่าครั้งแรกฉีดยาปริมาณไม่เพียงพอ
และครั้งนี้มีการฉีดยาชาด้วย ก่อนจะฉีดสเตียรอยด์อีกครั้ง
อ้างว่าคือยาแก้อักเสบ และมีการกดแผลเพื่อเอาหนองออก ซึ่งหลังจากวันนั้นอีก
2 อาทิตย์ แผลก็ยังไม่หาย ตนจึงไปที่คลินิกอีกแห่งเพื่อตรวจร่างกาย
พบว่าความดันต่ำ ไข้ขึ้นสูง และสายตาเริ่มพร่ามัว ปวดที่ปลายประสาท
ตนจึงรีบไปโรงพยาบาลทันที
โดยหมอที่โรงพยาบาลแจ้งว่าอาการหนัก ตนติดเชื้ออย่างรุนแรง
มีสิทธิ์เสียชีวิตได้ทันที ต้องแอดมิต แต่ตนไม่ได้เตรียมตัวมา จึงขอยามากิน
แล้วรีบไปพบแพทย์ที่รู้จักกัน หมอทำการรักษาด้วยการใส่ท่อเพื่อดูดหนอง
ตนใส่ท่อที่ขมับซ้ายมานาน 2 อาทิตย์แล้ว
และทุกวันทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นจะต้องไปเปลี่ยนท่อและดูดหนองออก
และไม่รู้ว่าจะต้องใส่ท่อแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร หมอเองก็ตอบไม่ได้
ทั้งนี้ หลังเกิดเรื่องทางคลินิกคู่กรณีได้มีการโทร. ติดต่อมา
แต่ก็ติดต่อมาแบบไม่ดี
ซึ่งจากการตรวจสอบตนพบว่ามีผู้เสียหายที่เคยมาเสริมความงามที่คลินิกนี้แต่คนละสาขาแล้วเสียโฉมเช่นกัน
2 คน
เบื้องต้นตนได้มีการปรึกษาทนายในเรื่องที่จะฟ้องร้องคลินิกคู่กรณีแล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก