เราคงพอทราบกันมาบ้างว่า "รัฐวิสาหกิจ" กับ "องค์การมหาชน" ต่างก็เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมดูแลของภาครัฐ แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่า แล้วทั้งสองหน่วยงานนี้มีภารกิจต่างกันตรงส่วนไหน และจริง ๆ แล้ว ทั้ง "รัฐวิสาหกิจ" และ "องค์การมหาชน" มีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญต่อประเทศชาติอย่างไร หากใครยังสงสัย กระปุกดอทคอม ชวนทุกคนมาทำความเข้าใจกันให้ชัด ๆ ที่นี่เลยค่ะ
- เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ส่วนราชการ หรือองค์การ หรือหน่วยงานที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละ 50 ของทุนทั้งหมด
1. เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจแทนรัฐ
2. เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เอกชนในการดำเนินธุรกิจ
3. เพื่อความมั่นคงของประเทศ
4. เพื่อส่งเสริมสังคมและวัฒนธรรม
5. เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ
6. เพื่อประโยชน์ในด้านการคลังและเสริมรายได้ให้แก่รัฐ
7. เพื่อควบคุมสินค้าอันตราย
ประเภทของรัฐวิสาหกิจ แบ่งเป็นแบบไหนได้บ้าง
อาจแบ่งได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หลักเกณฑ์ใดมาพิจารณา เช่น
แบ่งตามประเภทกฎหมายที่จัดตั้ง มี 5 รูปแบบ คือ
- จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา/กฎหมายจัดตั้งที่ออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. 2496 เช่น องค์การสวนสัตว์, องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ, สถาบันการบินพลเรือน, องค์การตลาด, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
- จัดตั้งขึ้นโดยประกาศของคณะปฏิวัติรัฐวิสาหกิจและองค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยประกาศของคณะปฏิวัติ คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และการเคหะแห่งชาติ
- จัดตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจและองค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เป็นกิจการที่มิได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะและมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน การจัดตั้งนั้นรัฐบาลอาจกำหนดเงินทุนไว้จำนวนหนึ่งเพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ โดยอาจนำผลกำไรที่ได้บางส่วนสมทบทุนดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องส่งคลัง หรืออาจเป็นเพียงตั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยความตกลงระหว่างกระทรวงผู้กำกับและกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 คือ โรงงานไพ่, องค์การสุรา, โรงงานยาสูบ, โรงพิมพ์ตำรวจ, สำนักงานธนานุเคราะห์
- บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด รัฐวิสาหกิจในประเภทนี้มี 2 ลักษณะ คือ จัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยรัฐถือหุ้นทั้งสิ้น และจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยรัฐถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งจัดตั้งตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด เช่น ปตท., ท่าอากาศยานไทย, การบินไทย, ทีโอที, กสท, ไปรษณีย์ไทย, อสมท, ธนาคารกรุงไทย
แบ่งตามสถานะการเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นนิติบุคคล
* รัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคล คือ องค์การและหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น มีฐานะเป็นบุคคลตามกฎหมาย มีการดำเนินงานที่แยกออกจากผู้ถือหุ้น หรือเจ้าของกิจการโดยเฉพาะ มีทุนจดทะเบียน มีหุ้น มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
3. กิจการธนาคาร ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารกรุงไทย
* รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นนิติบุคคล คือกิจการที่รัฐจัดตั้งขึ้นโดยลงทุนเองทั้งหมด ขึ้นตรงกับหน่วยงานราชการที่เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น แต่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เช่น องค์การเหมืองแร่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โรงงานยาสูบ เป็นต้น
การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาควบคุมดูแลกิจการด้านต่าง ๆ มีข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือ รัฐสามารถเข้ามาแทรกแซงราคาค่าธรรมเนียมและบริการบางประเภทได้ จึงช่วยควบคุมราคาสินค้าไม่ให้สูงจนกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภค ทั้งไฟฟ้า ประปา การขนส่งมวลชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ การที่รัฐมีรายได้จากรัฐวิสาหกิจก็สามารถนำไปพัฒนาประเทศ และสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจของชาติได้
เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของ "รัฐวิสาหกิจ" กันชัดเจนแล้ว คราวนี้มารู้จัก "องค์การมหาชน" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งองค์กรของรัฐกันบ้างค่ะ
องค์การมหาชน คืออะไร ทำความเข้าใจให้ชัด
ภารกิจสำคัญขององค์การมหาชน
บทบาทหน้าที่ที่สำคัญขององค์การมหาชนก็คือ การให้บริการสาธารณะในรูปแบบต่าง ๆ จุดสำคัญก็คือ ไม่ได้มุ่งแสวงหาผลกำไร แต่จะหารายได้จากการดำเนินงานบริการสาธารณะนั้น ๆ โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและบุคลากรให้คุ้มค่าและมีประสิทธิผลสูงสุด เพื่อจัดการในเรื่องเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นข้อจำกัดของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้ ประเภทของบริการสาธารณะที่องค์การมหาชนสามารถจัดทำได้ต้องเป็นกิจการที่เกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้
- การพัฒนาและส่งเสริมการกีฬา
- การส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการวิจัย การถ่ายทอดและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
- การบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข
- การสังคมสงเคราะห์
- การอำนวยบริการแก่ประชาชน
- การดำเนินการอันเป็นสาธารณประโยชน์อื่น
องค์การมหาชน จัดตั้งอย่างไร
- แผนงานการจัดทำบริการสาธารณะนั้นมีความเหมาะสมที่จะจัดตั้งหน่วยงานบริหารขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
- การจัดตั้งหน่วยบริหารขึ้นใหม่นั้นมีความมุ่งหมายให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างไรก็ตาม รัฐมีสิทธิ์ยุบเลิกองค์การมหาชนในกรณีที่องค์การมหาชนตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะกิจเสร็จสิ้นแล้ว หรือตั้งขึ้นโดยมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด
องค์การมหาชน แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
- องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, คุรุสภา, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
โครงสร้างการบริหารงานองค์การมหาชน
คณะรัฐมนตรี : มีหน้าที่พิจารณาจัดตั้ง หรือยุบเลิกองค์การมหาชน รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการ กำหนดหลักการบริหาร ระเบียบแบบแผน วินิจฉัยชี้ขาด
รัฐมนตรีผู้รักษาการ : เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแลองค์การมหาชนให้ดำเนินการบรรลุผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งองค์การมหาชน จึงมีหน้าที่เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการ กำกับดูแลการสรรหาผู้อำนวยการองค์การมหาชน กำหนดนโยบาย ทิศทางการดำเนินงานและเป้าหมายโดยรวม กำหนดอัตราเงินเดือน-เบี้ยประชุม
คณะกรรมการองค์การมหาชน : มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลองค์การมหาชนให้ดำเนินกิจการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ด้วยการกำหนดนโยบายการบริหารงาน อนุมัติแผนการลงทุนและแผนการเงิน ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป ตลอดจนออกกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้
ผู้อำนวยการองค์การมหาชน : อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ในองค์การมหาชนทุกตำแหน่ง และยังถือเป็นผู้แทนขององค์การมหาชนในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก มีหน้าที่บริหารกิจการขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามวัตถุประสงค์ ระเบียบข้อบังคับของคณะกรรมการ ทั้งนี้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการได้
บุคลากรขององค์การมหาชน : ประกอบด้วยผู้ปฏิบัติงานประจำ (เจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชน) และผู้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะชั่วคราว (ลูกจ้างขององค์การมหาชน) รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มาปฏิบัติงานในองค์การมหาชนเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้จะถือว่าบุคลากรขององค์การมหาชนมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ไม่ใช่ข้าราชการ
การจัดตั้งองค์การมหาชน ส่งผลดีอย่างไร
องค์การมหาชน VS รัฐวิสาหกิจ แตกต่างกันตรงไหน
สถานะ
- องค์การมหาชน : มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคล (แต่ไม่เป็นทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ)
หน่วยงานที่กำกับดูแล
รูปแบบการทำงาน
- องค์การมหาชน : ลักษณะการบริหารจัดการเหมือนภาคธุรกิจเอกชน คือมีคณะกรรมการเป็นผู้กำหนดนโยบายบริหารงานของแต่ละองค์กรว่าจะออกแบบอย่างไรให้เหมาะสมกับกิจกรรมขององค์กร
ภารกิจ
- องค์การมหาชน : เป็นหน่วยงานที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการสาธารณะด้านใดด้านหนึ่งตามที่รัฐมอบหมายเท่านั้น ซึ่งจะเน้นเรื่องการศึกษา วิจัย การฝึกอบรม การอนุรักษ์ การพัฒนาและส่งเสริมด้านต่าง ๆ ที่ต้องมีประสิทธิภาพในการจัดการสูง และข้อแตกต่างที่สำคัญก็คือ องค์การมหาชนไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลกำไรเหมือนรัฐวิสาหกิจ แต่จะเน้นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อตอบสนองงานสาธารณะต่าง ๆ
คงพอจะเห็นภาพแล้วว่า "รัฐวิสาหกิจ" และ "องค์การมหาชน" มีภารกิจที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งบทบาทและหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการไทย ก็ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น อันนำไปสู่การเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติสืบต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, กองกิจการองค์การมหาชน, สถาบันพระปกเกล้า, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ, เครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย, คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, thaipawiki.com, Thaieditorial.com
รัฐวิสาหกิจ คืออะไร ใครเป็นเจ้าของ
"รัฐวิสาหกิจ" (Public Enterprise) ก็คือ หน่วยงานหรือกิจการที่รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมดูแล ซึ่งการที่รัฐบาลเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจนั้น ตามกฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นไปได้ในหลายลักษณะ สามารถสรุปให้เข้าใจได้ง่าย ๆ คือ
- เป็นองค์การที่รัฐเป็นเจ้าของ
- เป็นหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ- เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ส่วนราชการ หรือองค์การ หรือหน่วยงานที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละ 50 ของทุนทั้งหมด
ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจ อาจเปรียบเทียบได้กับบริษัทของภาคเอกชน ที่ผลิตสินค้าและให้บริการประชาชน ซึ่งประชาชนก็จะต้องจ่ายค่าบริการเพื่อรับบริการนั้นในอัตราที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับภาคเอกชน โดยรายได้และผลกำไรที่รัฐวิสาหกิจได้รับก็จะถูกนำกลับมาใช้พัฒนาประเทศ สร้างความมั่นคงให้ระบบเศรษฐกิจ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
รัฐวิสาหกิจ กับบทบาทหน้าที่สำคัญต่อประเทศไทย
รัฐวิสาหกิจ จะอยู่ในความดูแลของกระทรวงต้นสังกัด และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ซึ่งการก่อตั้งรัฐวิสาหกิจจะมีจุดประสงค์หลักและบทบาทหน้าที่สำคัญอยู่ 7 ข้อ คือ
1. เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจแทนรัฐ
ในกรณีที่สังคมต้องการบริการใหม่ ๆ แต่ภาคเอกชนยังไม่มีความพร้อม หรือภาคเอกชนดำเนินการแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ รัฐอาจตั้งรัฐวิสาหกิจเข้ามาดำเนินกิจการนั้น ๆ เอง หรืออาจเข้ามาถือหุ้นในภาคเอกชน เกินร้อยละ 50
2. เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เอกชนในการดำเนินธุรกิจ
กรณีที่ภาคเอกชนอาจไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการดำเนินกิจการบางประเภท จึงไม่กล้าลงทุน เพราะไม่มั่นใจว่าจะดำเนินธุรกิจได้คุ้มทุนหรือมีผลกำไรหรือไม่ รัฐอาจจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาเป็นผู้เริ่มดำเนินการเป็นแบบอย่างก่อน และเมื่อรัฐวิสาหกิจดำเนินกิจการมาจนประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นตัวอย่างให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนได้อย่างเพียงพอ
3. เพื่อความมั่นคงของประเทศ
เพื่อป้องกันการผูกขาดสินค้าและบริการที่มีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ไฟฟ้า ประปา รถไฟ รัฐจึงต้องเข้ามาดำเนินการเอง เพื่อไม่ให้ภาคเอกชนผูกขาดบริการนั้น นำไปสู่การเรียกเก็บค่าตอบแทนตามใจตัวเองเพื่อหวังผลกำไรมาก ๆ จนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระดับประเทศ
4. เพื่อส่งเสริมสังคมและวัฒนธรรม
กิจการสาธารณประโยชน์ในเชิงสังคมและวัฒนธรรมบางประเภทใช้เงินลงทุนสูง แต่ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย จึงไม่เป็นที่ดึงดูดใจของภาคเอกชนมากนัก รัฐจึงเข้ามาดำเนินกิจการนั้นเอง เพื่อส่งเสริมกิจการด้านสังคม ส่งเสริมสุขภาพพลานามัยให้ประชาชน รวมทั้งธำรงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมของชาติ และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อย่างเช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การสวนสัตว์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ การกีฬาแห่งประเทศไทย ฯลฯ
5. เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ
โดยเฉพาะกิจการด้านสาธารณูปโภคที่ประชาชนทุกคนต้องได้รับบริการอย่างทั่วถึง อย่างเช่น ไฟฟ้า ประปา ระบบขนส่ง โทรศัพท์ แต่ทว่ากิจการสาธารณูปโภคมักใช้เงินลงทุนสูง และต้องใช้พนักงานจำนวนมาก แต่ได้ผลตอบแทนไม่คุ้มทุนและใช้เวลานาน เอกชนจึงไม่ค่อยให้ความสนใจ รัฐจึงต้องดำเนินการเองเพื่อให้สาธารณชนได้รับความสะดวก โดยเรียกเก็บค่าบริการในอัตราที่ต่ำเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้
6. เพื่อประโยชน์ในด้านการคลังและเสริมรายได้ให้แก่รัฐ
รัฐวิสาหกิจถือเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจแทนรัฐ และดำเนินธุรกิจโดยมีกำไรเป็นผลตอบแทน จึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐ และรายได้นี้ก็นับเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพด้านการเงินการคลังของประเทศไทยด้วย โดยทุกปีรัฐวิสาหกิจจะนำส่งรายได้เข้ารัฐเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้มากถึง 64,560 ล้านบาท โดยอันดับ 1 เป็นรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามมาด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT)
7. เพื่อควบคุมสินค้าอันตราย
สินค้าบางชนิด เช่น สุรา ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล และไพ่ เป็นสิ่งเสพติดและอบายมุขที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมได้ และเนื่องจากประเทศไทยเป็นสังคมแบบเสรี รัฐไม่สามารถห้ามประชาชนบริโภคสินค้าเหล่านี้ได้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เอกชนดำเนินการได้เอง เพราะอาจส่งผลเสียต่อสังคมมากยิ่งขึ้น รัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามาควบคุมดูแลกิจการเหล่านี้เองแต่เพียงผู้เดียว
อาจแบ่งได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หลักเกณฑ์ใดมาพิจารณา เช่น
แบ่งตามประเภทกฎหมายที่จัดตั้ง มี 5 รูปแบบ คือ
- จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติและพระราชกำหนด เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, การประปาส่วนภูมิภาค, สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, องค์การเภสัชกรรม, ธนาคารออมสิน
- จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา/กฎหมายจัดตั้งที่ออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. 2496 เช่น องค์การสวนสัตว์, องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ, สถาบันการบินพลเรือน, องค์การตลาด, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
- จัดตั้งขึ้นโดยประกาศของคณะปฏิวัติรัฐวิสาหกิจและองค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยประกาศของคณะปฏิวัติ คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และการเคหะแห่งชาติ
- จัดตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจและองค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เป็นกิจการที่มิได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะและมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน การจัดตั้งนั้นรัฐบาลอาจกำหนดเงินทุนไว้จำนวนหนึ่งเพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ โดยอาจนำผลกำไรที่ได้บางส่วนสมทบทุนดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องส่งคลัง หรืออาจเป็นเพียงตั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยความตกลงระหว่างกระทรวงผู้กำกับและกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 คือ โรงงานไพ่, องค์การสุรา, โรงงานยาสูบ, โรงพิมพ์ตำรวจ, สำนักงานธนานุเคราะห์
- บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด รัฐวิสาหกิจในประเภทนี้มี 2 ลักษณะ คือ จัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยรัฐถือหุ้นทั้งสิ้น และจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยรัฐถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งจัดตั้งตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด เช่น ปตท., ท่าอากาศยานไทย, การบินไทย, ทีโอที, กสท, ไปรษณีย์ไทย, อสมท, ธนาคารกรุงไทย
* รัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคล คือ องค์การและหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น มีฐานะเป็นบุคคลตามกฎหมาย มีการดำเนินงานที่แยกออกจากผู้ถือหุ้น หรือเจ้าของกิจการโดยเฉพาะ มีทุนจดทะเบียน มีหุ้น มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. กิจการธุรกิจที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย, การท่าเรือแห่งประเทศไทย
2. กิจการธุรกิจที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา เช่น องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ องค์การสวนสัตว์ องค์การสะพานปลา องค์การเภสัชกรรม
4. บริษัทจำกัด ซึ่งมีทั้งกรณีที่รัฐลงทุนเองทั้งหมด หรือเข้าไปถือหุ้นใหญ่ เช่น บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด, บริษัท การบินไทย จำกัด, บริษัท ขนส่ง จำกัด
* รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นนิติบุคคล คือกิจการที่รัฐจัดตั้งขึ้นโดยลงทุนเองทั้งหมด ขึ้นตรงกับหน่วยงานราชการที่เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น แต่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เช่น องค์การเหมืองแร่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โรงงานยาสูบ เป็นต้น
รัฐวิสาหกิจผูกขาดคืออะไร
หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำนี้ ซึ่งก็คือการที่รัฐจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาควบคุมดูแลสินค้าและบริการด้านนั้น ๆ เพียงแห่งเดียว ไม่ได้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินกิจการ ส่วนใหญ่เป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอันตราย เช่น โรงงานยาสูบ องค์การสุรา โรงงานไพ่ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจส่งผลต่อสังคมในวงกว้าง
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจด้านสาธารณูปโภคที่รัฐมักดำเนินการเพียงรายเดียว เพื่อควบคุมราคาการให้บริการไม่ให้สูงเกินไปจนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง
การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ มีข้อดีอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม รัฐวิสาหกิจอาจมีข้อบกพร่องตรงที่มีระเบียบปฏิบัติไม่ต่างจากส่วนราชการ ดังนั้นการทำงานบางครั้งจึงอาจล่าช้า และไม่คล่องตัวนัก
เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของ "รัฐวิสาหกิจ" กันชัดเจนแล้ว คราวนี้มารู้จัก "องค์การมหาชน" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งองค์กรของรัฐกันบ้างค่ะ
เนื่องจากหน่วยงานราชการรูปแบบเดิมที่ประกอบด้วยส่วนราชการ (กระทรวง ทบวง กรม) และรัฐวิสาหกิจ มีข้อจำกัดของตัวระบบ ทำให้เกิดความล่าช้า ไม่ทันเหตุการณ์ และไม่สามารถรองรับการดำเนินกิจกรรมสาธารณะรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมและเศรษฐกิจ องค์การมหาชน (Public Organization) จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาระบบราชการ โดยจัดตั้งขึ้นมาตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เพื่อให้บริการสาธารณะที่เป็นนโยบายเฉพาะด้าน
นั่นก็หมายความว่า องค์การมหาชนถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งอย่างชัดเจน โดยอาจเป็นการดำเนินกิจกรรมในส่วนที่ภาครัฐเห็นว่าจำเป็นต้องมี แต่ไม่สามารถบริหารในรูปแบบส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือให้ภาคเอกชนดำเนินการได้ จึงต้องตั้งองค์กรใดองค์กรหนึ่งขึ้นมารับผิดชอบโดยเฉพาะ และรัฐก็จัดสรรงบประมาณให้ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วองค์การมหาชนจะแตกแยกย่อยมาจากกรม กอง ในกระทรวงต่าง ๆ ดังนั้น ทุกหน่วยงานในองค์การมหาชนจะอยู่ภายใต้กระทรวงต้นสังกัดที่รับผิดชอบนั่นเอง
ภารกิจสำคัญขององค์การมหาชน
บทบาทหน้าที่ที่สำคัญขององค์การมหาชนก็คือ การให้บริการสาธารณะในรูปแบบต่าง ๆ จุดสำคัญก็คือ ไม่ได้มุ่งแสวงหาผลกำไร แต่จะหารายได้จากการดำเนินงานบริการสาธารณะนั้น ๆ โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและบุคลากรให้คุ้มค่าและมีประสิทธิผลสูงสุด เพื่อจัดการในเรื่องเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นข้อจำกัดของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้ ประเภทของบริการสาธารณะที่องค์การมหาชนสามารถจัดทำได้ต้องเป็นกิจการที่เกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้
- การรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
- การศึกษาอบรมและพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐ
- การทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม- การพัฒนาและส่งเสริมการกีฬา
- การส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการวิจัย การถ่ายทอดและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
- การบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข
- การสังคมสงเคราะห์
- การอำนวยบริการแก่ประชาชน
- การดำเนินการอันเป็นสาธารณประโยชน์อื่น
องค์การมหาชน จัดตั้งอย่างไร
การจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นมาสักแห่ง จะต้องพิจารณาจาก 3 ข้อ คือ
- เมื่อรัฐบาลมีนโยบายด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อจัดทำบริการสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม รัฐมีสิทธิ์ยุบเลิกองค์การมหาชนในกรณีที่องค์การมหาชนตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะกิจเสร็จสิ้นแล้ว หรือตั้งขึ้นโดยมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด
องค์การมหาชนมีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคล แบ่งเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้กฎหมายจัดตั้ง คือ
- องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เช่น สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน), สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน), สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน), หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA), โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์, โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)
- องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, คุรุสภา, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
โครงสร้างการบริหารงานองค์การมหาชน
องค์การมหาชนจะอยู่ในความดูแลของคณะกรรมการ ซึ่งจะรับผิดชอบรายงานต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการ ดังนั้นลักษณะโครงสร้างการบริหารจะประกอบด้วย
คณะรัฐมนตรี : มีหน้าที่พิจารณาจัดตั้ง หรือยุบเลิกองค์การมหาชน รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการ กำหนดหลักการบริหาร ระเบียบแบบแผน วินิจฉัยชี้ขาด
รัฐมนตรีผู้รักษาการ : เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแลองค์การมหาชนให้ดำเนินการบรรลุผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งองค์การมหาชน จึงมีหน้าที่เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการ กำกับดูแลการสรรหาผู้อำนวยการองค์การมหาชน กำหนดนโยบาย ทิศทางการดำเนินงานและเป้าหมายโดยรวม กำหนดอัตราเงินเดือน-เบี้ยประชุม
คณะกรรมการองค์การมหาชน : มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลองค์การมหาชนให้ดำเนินกิจการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ด้วยการกำหนดนโยบายการบริหารงาน อนุมัติแผนการลงทุนและแผนการเงิน ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป ตลอดจนออกกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้
ผู้อำนวยการองค์การมหาชน : อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ในองค์การมหาชนทุกตำแหน่ง และยังถือเป็นผู้แทนขององค์การมหาชนในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก มีหน้าที่บริหารกิจการขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามวัตถุประสงค์ ระเบียบข้อบังคับของคณะกรรมการ ทั้งนี้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการได้
บุคลากรขององค์การมหาชน : ประกอบด้วยผู้ปฏิบัติงานประจำ (เจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชน) และผู้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะชั่วคราว (ลูกจ้างขององค์การมหาชน) รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มาปฏิบัติงานในองค์การมหาชนเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้จะถือว่าบุคลากรขององค์การมหาชนมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ไม่ใช่ข้าราชการ
จุดเด่นขององค์การมหาชนคือ สามารถดำเนินงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวกว่าส่วนราชการอื่น ๆ เนื่องจากมีรูปแบบการบริหารคล้ายกับภาคเอกชน โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้ควบคุมดูแล ซึ่งคณะกรรมการมีความเป็นอิสระพอสมควร สามารถกำหนดระเบียบข้อบังคับ การจัดโครงสร้างการดำเนินงาน การจัดการภายในองค์กร ตลอดจนการบริหารงบประมาณได้ โดยมีรัฐเป็นผู้ตรวจสอบ นั่นจึงทำให้โครงสร้างการบริหารงาน นโยบาย รวมทั้งเงินเดือนและสวัสดิการขององค์การมหาชนจะแตกต่างกันไปตามแต่ละแห่งด้วย
องค์การมหาชน VS รัฐวิสาหกิจ แตกต่างกันตรงไหน
แม้จะเป็นหน่วยงานที่มีภาครัฐเป็นเจ้าของเหมือนกัน แต่การดำเนินงานและบทบาทหน้าที่มีความแตกต่างกันบางประการ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ
สถานะ
- รัฐวิสาหกิจ : เป็นองค์การที่รัฐเป็นเจ้าของ หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ หรือเป็นบริษัท/ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (เกินร้อยละ 50)
- องค์การมหาชน : มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคล (แต่ไม่เป็นทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ)
หน่วยงานที่กำกับดูแล
- รัฐวิสาหกิจ : กระทรวงต้นสังกัด และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง
- องค์การมหาชน : หน่วยงาน หรือกระทรวงที่องค์การมหาชนนั้นสังกัดรูปแบบการทำงาน
- รัฐวิสาหกิจ : หากเป็นบริษัท หรือนิติบุคคลที่รัฐเข้าไปถือหุ้นใหญ่ รัฐวิสาหกิจกลุ่มนี้จะมีโครงสร้างเช่นเดียวกับภาคธุรกิจเอกชน แต่หากเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่รัฐจัดตั้งขึ้นเอง จะมีโครงสร้างอย่างหน่วยงานของราชการ คือรับนโยบายและข้อปฏิบัติมาจากส่วนกลาง มีสายบังคับบัญชาเป็นลำดับขั้นตอน และมีกฎระเบียบมากมาย จึงต้องใช้เวลาในการติดต่อประสานงานและพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ
- องค์การมหาชน : ลักษณะการบริหารจัดการเหมือนภาคธุรกิจเอกชน คือมีคณะกรรมการเป็นผู้กำหนดนโยบายบริหารงานของแต่ละองค์กรว่าจะออกแบบอย่างไรให้เหมาะสมกับกิจกรรมขององค์กร
ที่สำคัญคือ องค์การมหาชนมีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในองค์กรนั้น ๆ จึงมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากกว่า มีความยืดหยุ่นมากกว่า สามารถตอบสนองภารกิจของรัฐได้รวดเร็วกว่ารัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนจึงเหมาะกับภารกิจที่ต้องการความเร่งด่วน ซึ่งส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจอาจดำเนินการไม่สะดวก แต่องค์การมหาชนก็ยังคงอยู่ภายใต้ระบบการตรวจสอบจากรัฐ และขอความเห็นชอบจากรัฐในการจัดทำแผนงบประมาณ
ภารกิจ
- รัฐวิสาหกิจ : ดำเนินธุรกิจแทนรัฐ โดยเฉพาะเรื่องสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นจึงมุ่งแสวงหารายได้และผลกำไรเป็นหลัก ซึ่งรัฐวิสาหกิจถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่รัฐจะนำเงินที่ได้กลับมาใช้ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น และสร้างความมั่นคงให้ระบบเศรษฐกิจและประเทศชาติ
- องค์การมหาชน : เป็นหน่วยงานที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการสาธารณะด้านใดด้านหนึ่งตามที่รัฐมอบหมายเท่านั้น ซึ่งจะเน้นเรื่องการศึกษา วิจัย การฝึกอบรม การอนุรักษ์ การพัฒนาและส่งเสริมด้านต่าง ๆ ที่ต้องมีประสิทธิภาพในการจัดการสูง และข้อแตกต่างที่สำคัญก็คือ องค์การมหาชนไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลกำไรเหมือนรัฐวิสาหกิจ แต่จะเน้นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อตอบสนองงานสาธารณะต่าง ๆ
คงพอจะเห็นภาพแล้วว่า "รัฐวิสาหกิจ" และ "องค์การมหาชน" มีภารกิจที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งบทบาทและหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการไทย ก็ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น อันนำไปสู่การเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติสืบต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, กองกิจการองค์การมหาชน, สถาบันพระปกเกล้า, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ, เครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย, คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, thaipawiki.com, Thaieditorial.com