หากไม่ถูกประหัตประหาร หากไม่ถูกไล่ล่า หากไม่ถูกละเมิดความเป็นคน จะมีใครบ้างที่อยากพลัดพรากจากแผ่นดินเกิดของตนเอง
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
หากแต่ความเป็นจริงบางประการ ยากจะปฏิเสธว่า ในหลาย ๆ พื้นที่ ผู้ลี้ภัยยังเป็นกลุ่มคนชั้น 2 ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง
ทุกเช้ามืด 'ฮาซัน' (นามสมมุติ) จะถูกปลุกด้วยเสียงละหมาดอวยพรพระเจ้าจากมัสยิดใกล้เคียง กิจวัตรประจำวันของเขาคือ การออกไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวทั้ง 3 ชีวิต
เขาใช้เวลาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงช่วงสาย ตระเวนไปตามโบสถ์ มัสยิด และมูลนิธิในพื้นที่ เพื่อหาสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้ครอบครัวอิ่มท้อง บางครั้งโชคดีได้อาหารจากผู้ใจบุญสุนทาน บางครั้งโชคร้ายไม่มีแม้แต่ข้าวตกถึงท้อง
ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอนขึ้นอยู่กับลิขิตจากพระเจ้า
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
"จริงๆ ไม่ได้อยากจะขอใครกิน อยากจะทำงาน สถานะชั่วคราวก็ได้ ขอให้มีรายได้มาซื้ออาหารให้ครอบครัว ลูกสาวของผมเพิ่งจะอายุแค่ 8 เดือน ถ้าภรรยาของผมไม่ได้กินอาหารจะเอาน้ำนมจากไหนไปให้ลูกกิน
แต่ผมทำไม่ได้ เพราะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้ทำมาหากินอะไรสักอย่าง ตอนนี้ทำได้เพียงแต่รอรับความช่วยเหลือ จะแอบออกไปทำงานเหมือนผู้ลี้ภัยคนอื่นก็กลัวถูกตำรวจจับ ถ้าถูกจับแล้วใครจะดูแลครอบครัว"
'ฮาซัน' เล่าถึงชีวิตของตนเอง
ครอบครัวของ 'ฮาซัน' เดินทางหนีภัยสงครามจากกลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถานมาถึงประเทศไทย ราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 และได้ขอความช่วยเหลือจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
"ตอนนั้นตอลิบานฆ่าคนไม่เลือกหน้า ทั้งคริสต์ ทั้งอิสลาม ใครคิดไม่เหมือนตนเองฆ่าหมด เมืองที่เราอาศัยก็เต็มไปด้วยความรุนแรง เลยคิดว่าอยู่ที่บ้านไม่ได้แล้วเพราะผมนับถือคนละนิกาย อยู่ไปไม่รอดแน่ ๆ
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
ภาพจาก shutterstock / Orlok
ผมและภรรยาจ่ายเงินคนละประมาณ 60,000 บาท ให้คนกลุ่มหนึ่งแลกกับความช่วยเหลือที่จะพาออกมาจากอัฟกานิสถาน เรานั่งเครื่องบินมาลงที่อินเดีย และมีคนมารับขึ้นเครื่องมาที่มาเลเซีย พอมาถึงก็มีคนอีกกลุ่มมารับ และพาขึ้นรถบัสผ่านด่านเข้าประเทศไทยทางภาคใต้"
'ฮาซัน' ย้อนเหตุการณ์ช่วงออกจากอัฟกานิสถาน
ระหว่างการเดินทางจากคาบูล เมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถาน มายังกรุงเทพมหานคร 'ฮาซัน' พบเจออะไรมากมาย ทั้งความหวาดกลัวที่จะถูกส่งกลับอัฟกานิสถาน ทั้งความหวาดระแวงที่จะถูกจับแยกทางกับภรรยา ยิ่งขณะนั้นภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วยแล้ว เขายิ่งไม่กล้าไว้ใจใคร
บางช่วงถึงกับตั้งคำถามว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือไม่กับการหนีออกมาจากบ้านเกิดมาในสภาพนี้ เขาได้แต่เฝ้าภาวนาให้เดินทางถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพราะเชื่อว่าหากถึงประเทศไทยแล้ว เขาและภรรยาจะปลอดภัย
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
ส่วนสาเหตุที่เลือกมาเมืองไทย 'ฮาซัน' เล่าว่า
"ผมพร้อมที่จะไปไหนก็ได้เพื่อที่จะช่วยครอบครัว แต่ที่เลือกประเทศไทยเพราะว่าง่ายต่อการขอวีซ่า และน่าจะได้รับการส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สามได้โดยง่ายที่สุด เพราะเป็นที่ตั้งของสำนักงาน UNHCR เอเชีย"
ปัจจุบัน 'ฮาซัน' และภรรยาได้รับการรับรองสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจาก UNHCR และอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก ย่านกลางกรุง โดยได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรเอ็นจีโอและกลุ่มผู้ลี้ภัยด้วยกันเองเป็นหลัก
แม้จะมีสถานะผู้ลี้ภัย แต่คุณภาพชีวิตของ 'ฮาซันและครอบครัว' กลับไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับผู้ลี้ภัย เขาและครอบครัวยังคงอยู่ในสถานะผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งอาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ตลอดเวลาตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
ส่วนลูกสาววัย 8 เดือนซึ่งเกิดในประเทศไทย ตอนนี้ได้รับการลงทะเบียนและออกใบเกิดตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นการรับรองการเกิดเพียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการให้สัญชาติไทยแต่อย่างใด
เรื่องที่ 'ฮาซัน' เป็นห่วงที่สุดคือ ชีวิตของภรรยาและลูกสาวที่ต้องมาตกระกำลำบากจากการตัดสินใจของตนเอง ยิ่งไม่มีช่องทางหรือโอกาสในการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพด้วยแล้ว เขายิ่งรู้สึกผิดและโทษตัวเอง
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
"ตอนนี้เหมือนคนสิ้นหวัง ทำงานไม่ได้ ต้องรอคอยขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ชีวิตเหมือนไม่มีค่าอะไร ตัวเองลำบากไม่เท่าไหร่ แต่ลูก-เมียไม่มีกินไปด้วย ผมได้แต่ทุกข์ใจ ลำพังเงินช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเดือนละ 1,500 บาท ยังไม่เพียงพอจ่ายค่าเช่าห้อง
แรก ๆ ยังดีที่มีการส่งความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องในอัฟกานิสถานมาบ้าง แต่ระยะหลังการส่งความช่วยเหลือจากครอบครัวไม่สามารถทำได้โดยตรง ที่หวังว่าจะได้รับการส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สาม ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่"
'ฮาซัน' กล่าวด้วยความท้อใจ
ความที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 ทำให้ไม่มีกฎหมายรองรับ 'ผู้ลี้ภัย' ทั้งหมดจึงกลายเป็น 'คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย' ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมาย
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
ต่อประเด็นนี้ พุทธณี กางกั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์กร Fortify Rights กล่าวว่า
"กรณี 'ฮาซัน' เป็นเหมือนผู้ลี้ภัยหลายคน กฎหมายไทยไม่รับรองสถานะผู้ลี้ภัย หากจะประกอบอาชีพต้องแอบทำ โดยส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพรับจ้าง อาชีพก่อสร้าง อาชีพอิสระในตลาดสด หรือไม่ก็ไปทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้าน หากถูก ตม. จับจะถูกส่งเข้าห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ห้องกักสวนพลู) ทันที"
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
สำหรับแนวคิดเรื่องให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้ระหว่างรอการส่งไปยังประเทศปลายทางที่สาม พุทธณี มีความคิดเห็นว่า
"เรื่องนี้รัฐบาลควรสนับสนุน เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง และลดความเสี่ยงที่ผู้ลี้ภัยจะตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ หรือเข้าสู่วงจรอาชีพผิดกฎหมาย
ตอนนี้หลายหน่วยงานกำลังหาช่องทางให้ถูกกฎระเบียบ แต่ยังมีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงที่มองว่า การเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยสามารถประกอบอาชีพได้อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง"
"ผู้ลี้ภัยหากแอบไปทำงานแล้วถูกจับได้ จะถูกส่งตัวไปที่ห้องกักก่อนจะเนรเทศกลับไปยังประเทศต้นทาง บางกรณีศาลอาจให้ประกันตัว แต่ต้องมีเงินประกันตัวซึ่งอาจสูงถึง 50,000 บาทต่อคน
บางกรณีถ้าพิจารณาแล้วอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือมีแนวโน้มว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ศาลจะไม่ให้การประกันตัว และรอการส่งตัวกลับประเทศต้นทางเพียงอย่างเดียว"
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
เราะห์หมัด เรืองปราชญ์ หรือ 'บังหมัด' เหรัญญิก มูลนิธิศรัทธาชน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบปฏิบัติเมื่อผู้ลี้ภัยถูกจับในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
'บังหมัด' ให้ข้อมูลต่อว่า โดยมาก ตม. จับเฉพาะผู้ชายที่ออกไปทำงาน ส่วนผู้หญิงและลูกที่อยู่ที่บ้าน หากไม่มีการลักลอบทำงาน ตม. จะไม่เข้าไปยุ่ง ยกเว้นว่าช่วงนั้นภาครัฐมีนโยบายกวดขันกับกลุ่มไหนเป็นพิเศษ
"ผมรับอาสาเป็นนายประกันให้ผู้ลี้ภัยที่ถูกจับมาหลายคนแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มอาหรับและแอฟริกา กลุ่มนี้ลักษณะภายนอกต่างจากเขมร ลาว เวียดนาม ทำให้สังเกตได้ง่าย เวลาตำรวจเห็นทำงานหากไม่มีใบอนุญาตทำงานจะจับกุมทันที
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
มูลนิธิเราโชคดีที่มีคนใจบุญ ช่วยเหลือเรื่องเงินทองที่จะใช้ประกันตัวผู้ลี้ภัย พอออกมาแล้วเราก็ดูแล คอยระวังไม่ให้โดนตำรวจจับอีก แต่กลุ่มที่เราช่วยออกมาส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าเขาไม่ทำงาน ครอบครัวก็ไม่มีกิน ตรงนี้มันลำบาก"
'บังหมัด' กล่าว
จากกรณีดังกล่าว หลาย ๆ ครั้ง จึงเกิดเหตุการณ์ เมื่อสามีที่เป็นหัวหน้าครอบครัวถูกจับ ภรรยาและลูกจะขอไปอยู่ที่ห้องกักกันด้วย ทว่าในความเป็นจริงที่ห้องกักสวนพลูใช่ว่าครอบครัวผู้ลี้ภัยจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะมีการแบ่งห้องชาย-หญิง พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง สภาพแวดล้อมโดยรวมก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง ส่งผลให้สุขอนามัยขั้นพื้นฐานของผู้ลี้ภัยไม่ได้ดีมากนัก
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
![ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง ผู้ลี้ภัยในเมือง ลมหายใจที่ยังรอความหวัง]()
สำหรับเด็กจะถูกแยกไปอยู่ในการดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
"จริงๆ เจ้าหน้าที่ ตม. ไม่ได้อยากจับ แต่พอมีคนแจ้ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ ตอนนี้ ครม. เห็นชอบนโยบายการดูแลผู้ลี้ภัยโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการคุมตัว เราหวังว่านโยบายจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยมีชีวิตที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะถ้ามีการออกกฎระเบียบให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานระหว่างการรอส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สามได้ ตรงนี้จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยให้มีคุณภาพดีขึ้น ผู้ลี้ภัยเองก็ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำงาน หรือไปทำงานที่ผิดกฎหมาย"
บังหมัด กล่าวทิ้งท้าย
วัฏจักรกำลังจะย้อนกลับอีกหน 'ฮาซัน' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิถีชีวิตเดิม ๆ
บัตร UNHCR ไม่ช่วยอะไร เขายังไม่มีสิทธิ์ประกอบอาชีพดังเช่นวันวาน มีแค่ 2 มือ 2 เท้า และลิขิตจากพระเจ้าเท่านั้นที่จะนำพาชีวิตของเขาว่าจะไปยังทิศทางไหน
เขาต้องรอกระบวนการส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สาม อีกนานแค่ไหน คำถามนี้ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ อาจจะหนึ่งปี สองปี หรือมากกว่านั้น ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรรับรอง
ยามบ่ายคล้อย 'ฮาซัน' กลับไปยังที่พัก ภรรยาและลูกน้อยรอคอยด้วยความหวัง เขาและครอบครัวยังคงดำรงชีวิตได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ไร้อนาคต ไร้ความหวัง
ความหวังสุดท้ายเพียงอย่างเดียวที่ต้องการ เขาขอโอกาสทำมาหากิน ขอเพียงโอกาสให้ภรรยาและลูกได้กินอิ่มท้อง ขอเพียงโอกาสได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขอเพียงโอกาสได้ลืมตาอ้าปากกับเขาบ้าง
'ฮาซัน' ขอเพียงเท่านั้นจริง ๆ

ภาพจาก shutterstock / Istvan Csak
เรามักพูดเสมอว่าทุกคนมีทางเลือก แต่ในความเป็นจริงบนโลกใบนี้ มนุษย์เราจะมีทางเลือกได้อย่างอิสระจริงหรือ
ในภาพรวมนานาชาติต่างตระหนักถึงปัญหาผู้ลี้ภัย หลายประเทศให้เกียรติผู้ลี้ภัยในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการความช่วยเหลือ หลายประเทศยินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
หากแต่ความเป็นจริงบางประการ ยากจะปฏิเสธว่า ในหลาย ๆ พื้นที่ ผู้ลี้ภัยยังเป็นกลุ่มคนชั้น 2 ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง
1
ทุกเช้ามืด 'ฮาซัน' (นามสมมุติ) จะถูกปลุกด้วยเสียงละหมาดอวยพรพระเจ้าจากมัสยิดใกล้เคียง กิจวัตรประจำวันของเขาคือ การออกไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวทั้ง 3 ชีวิต
เขาใช้เวลาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงช่วงสาย ตระเวนไปตามโบสถ์ มัสยิด และมูลนิธิในพื้นที่ เพื่อหาสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้ครอบครัวอิ่มท้อง บางครั้งโชคดีได้อาหารจากผู้ใจบุญสุนทาน บางครั้งโชคร้ายไม่มีแม้แต่ข้าวตกถึงท้อง
ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอนขึ้นอยู่กับลิขิตจากพระเจ้า

แต่ผมทำไม่ได้ เพราะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้ทำมาหากินอะไรสักอย่าง ตอนนี้ทำได้เพียงแต่รอรับความช่วยเหลือ จะแอบออกไปทำงานเหมือนผู้ลี้ภัยคนอื่นก็กลัวถูกตำรวจจับ ถ้าถูกจับแล้วใครจะดูแลครอบครัว"
'ฮาซัน' เล่าถึงชีวิตของตนเอง
2
ครอบครัวของ 'ฮาซัน' เดินทางหนีภัยสงครามจากกลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถานมาถึงประเทศไทย ราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 และได้ขอความช่วยเหลือจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
"ตอนนั้นตอลิบานฆ่าคนไม่เลือกหน้า ทั้งคริสต์ ทั้งอิสลาม ใครคิดไม่เหมือนตนเองฆ่าหมด เมืองที่เราอาศัยก็เต็มไปด้วยความรุนแรง เลยคิดว่าอยู่ที่บ้านไม่ได้แล้วเพราะผมนับถือคนละนิกาย อยู่ไปไม่รอดแน่ ๆ

ภาพจาก shutterstock / Orlok
'ฮาซัน' ย้อนเหตุการณ์ช่วงออกจากอัฟกานิสถาน
ระหว่างการเดินทางจากคาบูล เมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถาน มายังกรุงเทพมหานคร 'ฮาซัน' พบเจออะไรมากมาย ทั้งความหวาดกลัวที่จะถูกส่งกลับอัฟกานิสถาน ทั้งความหวาดระแวงที่จะถูกจับแยกทางกับภรรยา ยิ่งขณะนั้นภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วยแล้ว เขายิ่งไม่กล้าไว้ใจใคร
บางช่วงถึงกับตั้งคำถามว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือไม่กับการหนีออกมาจากบ้านเกิดมาในสภาพนี้ เขาได้แต่เฝ้าภาวนาให้เดินทางถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพราะเชื่อว่าหากถึงประเทศไทยแล้ว เขาและภรรยาจะปลอดภัย

ส่วนสาเหตุที่เลือกมาเมืองไทย 'ฮาซัน' เล่าว่า
"ผมพร้อมที่จะไปไหนก็ได้เพื่อที่จะช่วยครอบครัว แต่ที่เลือกประเทศไทยเพราะว่าง่ายต่อการขอวีซ่า และน่าจะได้รับการส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สามได้โดยง่ายที่สุด เพราะเป็นที่ตั้งของสำนักงาน UNHCR เอเชีย"
3
ปัจจุบัน 'ฮาซัน' และภรรยาได้รับการรับรองสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจาก UNHCR และอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก ย่านกลางกรุง โดยได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรเอ็นจีโอและกลุ่มผู้ลี้ภัยด้วยกันเองเป็นหลัก
แม้จะมีสถานะผู้ลี้ภัย แต่คุณภาพชีวิตของ 'ฮาซันและครอบครัว' กลับไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับผู้ลี้ภัย เขาและครอบครัวยังคงอยู่ในสถานะผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งอาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ตลอดเวลาตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
ส่วนลูกสาววัย 8 เดือนซึ่งเกิดในประเทศไทย ตอนนี้ได้รับการลงทะเบียนและออกใบเกิดตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นการรับรองการเกิดเพียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการให้สัญชาติไทยแต่อย่างใด
เรื่องที่ 'ฮาซัน' เป็นห่วงที่สุดคือ ชีวิตของภรรยาและลูกสาวที่ต้องมาตกระกำลำบากจากการตัดสินใจของตนเอง ยิ่งไม่มีช่องทางหรือโอกาสในการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพด้วยแล้ว เขายิ่งรู้สึกผิดและโทษตัวเอง
'ฮาซัน' (นามสมมุติ) ผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถาน
"ตอนนี้เหมือนคนสิ้นหวัง ทำงานไม่ได้ ต้องรอคอยขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ชีวิตเหมือนไม่มีค่าอะไร ตัวเองลำบากไม่เท่าไหร่ แต่ลูก-เมียไม่มีกินไปด้วย ผมได้แต่ทุกข์ใจ ลำพังเงินช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเดือนละ 1,500 บาท ยังไม่เพียงพอจ่ายค่าเช่าห้อง
แรก ๆ ยังดีที่มีการส่งความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องในอัฟกานิสถานมาบ้าง แต่ระยะหลังการส่งความช่วยเหลือจากครอบครัวไม่สามารถทำได้โดยตรง ที่หวังว่าจะได้รับการส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สาม ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่"
'ฮาซัน' กล่าวด้วยความท้อใจ
4
ความที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 ทำให้ไม่มีกฎหมายรองรับ 'ผู้ลี้ภัย' ทั้งหมดจึงกลายเป็น 'คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย' ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมาย
พุทธณี กางกั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์กร Fortify Rights
ต่อประเด็นนี้ พุทธณี กางกั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์กร Fortify Rights กล่าวว่า
"กรณี 'ฮาซัน' เป็นเหมือนผู้ลี้ภัยหลายคน กฎหมายไทยไม่รับรองสถานะผู้ลี้ภัย หากจะประกอบอาชีพต้องแอบทำ โดยส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพรับจ้าง อาชีพก่อสร้าง อาชีพอิสระในตลาดสด หรือไม่ก็ไปทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้าน หากถูก ตม. จับจะถูกส่งเข้าห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ห้องกักสวนพลู) ทันที"

สำหรับแนวคิดเรื่องให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้ระหว่างรอการส่งไปยังประเทศปลายทางที่สาม พุทธณี มีความคิดเห็นว่า
"เรื่องนี้รัฐบาลควรสนับสนุน เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง และลดความเสี่ยงที่ผู้ลี้ภัยจะตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ หรือเข้าสู่วงจรอาชีพผิดกฎหมาย
ตอนนี้หลายหน่วยงานกำลังหาช่องทางให้ถูกกฎระเบียบ แต่ยังมีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงที่มองว่า การเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยสามารถประกอบอาชีพได้อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง"
5
"ผู้ลี้ภัยหากแอบไปทำงานแล้วถูกจับได้ จะถูกส่งตัวไปที่ห้องกักก่อนจะเนรเทศกลับไปยังประเทศต้นทาง บางกรณีศาลอาจให้ประกันตัว แต่ต้องมีเงินประกันตัวซึ่งอาจสูงถึง 50,000 บาทต่อคน
บางกรณีถ้าพิจารณาแล้วอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือมีแนวโน้มว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ศาลจะไม่ให้การประกันตัว และรอการส่งตัวกลับประเทศต้นทางเพียงอย่างเดียว"
เราะห์หมัด เรืองปราชญ์ หรือ 'บังหมัด' เหรัญญิก มูลนิธิศรัทธาชน
เราะห์หมัด เรืองปราชญ์ หรือ 'บังหมัด' เหรัญญิก มูลนิธิศรัทธาชน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบปฏิบัติเมื่อผู้ลี้ภัยถูกจับในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
'บังหมัด' ให้ข้อมูลต่อว่า โดยมาก ตม. จับเฉพาะผู้ชายที่ออกไปทำงาน ส่วนผู้หญิงและลูกที่อยู่ที่บ้าน หากไม่มีการลักลอบทำงาน ตม. จะไม่เข้าไปยุ่ง ยกเว้นว่าช่วงนั้นภาครัฐมีนโยบายกวดขันกับกลุ่มไหนเป็นพิเศษ
"ผมรับอาสาเป็นนายประกันให้ผู้ลี้ภัยที่ถูกจับมาหลายคนแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มอาหรับและแอฟริกา กลุ่มนี้ลักษณะภายนอกต่างจากเขมร ลาว เวียดนาม ทำให้สังเกตได้ง่าย เวลาตำรวจเห็นทำงานหากไม่มีใบอนุญาตทำงานจะจับกุมทันที

มูลนิธิเราโชคดีที่มีคนใจบุญ ช่วยเหลือเรื่องเงินทองที่จะใช้ประกันตัวผู้ลี้ภัย พอออกมาแล้วเราก็ดูแล คอยระวังไม่ให้โดนตำรวจจับอีก แต่กลุ่มที่เราช่วยออกมาส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าเขาไม่ทำงาน ครอบครัวก็ไม่มีกิน ตรงนี้มันลำบาก"
'บังหมัด' กล่าว
จากกรณีดังกล่าว หลาย ๆ ครั้ง จึงเกิดเหตุการณ์ เมื่อสามีที่เป็นหัวหน้าครอบครัวถูกจับ ภรรยาและลูกจะขอไปอยู่ที่ห้องกักกันด้วย ทว่าในความเป็นจริงที่ห้องกักสวนพลูใช่ว่าครอบครัวผู้ลี้ภัยจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะมีการแบ่งห้องชาย-หญิง พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง สภาพแวดล้อมโดยรวมก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง ส่งผลให้สุขอนามัยขั้นพื้นฐานของผู้ลี้ภัยไม่ได้ดีมากนัก


สำหรับเด็กจะถูกแยกไปอยู่ในการดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
"จริงๆ เจ้าหน้าที่ ตม. ไม่ได้อยากจับ แต่พอมีคนแจ้ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ ตอนนี้ ครม. เห็นชอบนโยบายการดูแลผู้ลี้ภัยโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการคุมตัว เราหวังว่านโยบายจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยมีชีวิตที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะถ้ามีการออกกฎระเบียบให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานระหว่างการรอส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สามได้ ตรงนี้จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยให้มีคุณภาพดีขึ้น ผู้ลี้ภัยเองก็ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำงาน หรือไปทำงานที่ผิดกฎหมาย"
บังหมัด กล่าวทิ้งท้าย
6
วัฏจักรกำลังจะย้อนกลับอีกหน 'ฮาซัน' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิถีชีวิตเดิม ๆ
บัตร UNHCR ไม่ช่วยอะไร เขายังไม่มีสิทธิ์ประกอบอาชีพดังเช่นวันวาน มีแค่ 2 มือ 2 เท้า และลิขิตจากพระเจ้าเท่านั้นที่จะนำพาชีวิตของเขาว่าจะไปยังทิศทางไหน
เขาต้องรอกระบวนการส่งต่อไปยังประเทศปลายทางที่สาม อีกนานแค่ไหน คำถามนี้ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ อาจจะหนึ่งปี สองปี หรือมากกว่านั้น ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรรับรอง
ยามบ่ายคล้อย 'ฮาซัน' กลับไปยังที่พัก ภรรยาและลูกน้อยรอคอยด้วยความหวัง เขาและครอบครัวยังคงดำรงชีวิตได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ไร้อนาคต ไร้ความหวัง
ความหวังสุดท้ายเพียงอย่างเดียวที่ต้องการ เขาขอโอกาสทำมาหากิน ขอเพียงโอกาสให้ภรรยาและลูกได้กินอิ่มท้อง ขอเพียงโอกาสได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขอเพียงโอกาสได้ลืมตาอ้าปากกับเขาบ้าง
'ฮาซัน' ขอเพียงเท่านั้นจริง ๆ
ผู้เขียน : ศรีศักดิ์ พิกุลแก้ว






