หมอเลี๊ยบ สุรพงษ์ โพสต์เล่าหลังเข้าคุยแลกเปลี่ยนเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค กับ อนุทิน ชาญวีรกูล ชี้อยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พัฒนาไปอย่างยั่งยืน
วันที่ 7 สิงหาคม 2562 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 30 บาทรักษาทุกโรค ควรก้าวต่อไปอย่างไร (ตอนที่ 1) ระบุว่า เหตุใดตนจึงไปนำเสนอข้อมูลเรื่อง 30 บาท ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั้น เนื่องจากตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ข่าวคราวเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นข่าวที่มี "อารมณ์ข่าว" แตกต่างไปจากหลายครั้งที่ผ่านมา โดย 4-5 ปีก่อนหน้านี้ เราได้รับฟังแต่ปัญหาของนโยบาย 30 บาท ในเรื่องงบประมาณไม่พอ ต้องให้มีการร่วมจ่ายเมื่อเจ็บป่วยบ้าง ผู้ป่วยมารักษาพยาบาลจนแออัดทั้งตึกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในบ้าง ความขัดแย้งระหว่างแพทย์ พยาบาลกับผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินบ้าง
สารพัดปัญหาเหล่านั้น ทำให้เกิดการโยนหินถามทางว่า ควรยกเลิกระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ใช้อยู่หรือไม่ แต่คนที่โยนหินก็กล้า ๆ กลัว ๆ สองจิตสองใจ ไม่มั่นใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป ซึ่งตนรับฟัง "ข่าวร้าย" ด้วยความรู้สึกหดหู่และหงุดหงิด แต่ก็บอกกับตนเองว่า "ปล่อยวางเถอะ เราได้ทำสิ่งที่เราควรทำแล้ว เดี๋ยวนี้และต่อจากนี้ ปล่อยให้เป็นบทบาทหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ ให้เขาทำต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเถิด ใครทำอะไรก็ย่อมได้รับผลของการกระทำนั้น"
หลังพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเดือนตุลาคม 2545
ตนไม่ได้กลับไปที่กระทรวงสาธารณสุขอีกเลย
ส่วนที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ตนมีโอกาสไปร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2 ครั้ง ในช่วงเวลา 16 ปี
ตนติดตามและเอาใจช่วยการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเริ่มต้นอย่างมีชีวิตชีวาในยุคของ
นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ต่อเนื่องมาถึงยุคของ นายแพทย์วินัย สวัสดิวร
แต่ตนเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับปัญหาที่เริ่มผุดโผล่ขึ้นมาในช่วงหลัง
ซึ่งบั่นทอนความเข้มแข็งของระบบ
สื่อมวลชนหลายแขนงทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ มาขอความเห็นตนเมื่อใด ตนก็แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและระมัดระวัง ไม่ข้ามเส้น ไม่ทำให้ใครคาดการณ์ไปได้ว่า ตนจะหวนกลับมาผลักดัน 30 บาทอีกครั้ง ซึ่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบางท่านได้เอ่ยปากเมื่อมีโอกาสพบกันว่า อยากให้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตนก็รับปากด้วยความยินดี แต่เมื่อท่านไม่นัดหมาย ตนก็ไม่ขวนขวายขอเข้าพบแต่อย่างใด
วันนี้ตนเป็นประชาชนที่อยู่ในวรรณะ "จัณฑาลทางการเมือง" มีเพียงสิทธิ์ในการไปลงคะแนนเลือกตั้ง ไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ๆ ไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ซึ่งตนก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่กลับสบายใจที่ไม่ต้องหาเหตุผลมาตอบมิตรสหายที่แวะเวียนมาสม่ำเสมอ เพื่อชักชวนเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง
นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร โดยตนได้ไปโหวตไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 มาด้วย ซึ่งตนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองกันให้มาก ๆ อีกทั้งยังไปลงคะแนนในวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ด้วยการเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ตามแนวทาง "เลือกอย่างมียุทธศาสตร์" และไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจ แต่ตนก็จะไม่ยอมเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องพังทลายลงต่อหน้าต่อตา โดยนิ่งดูดาย ไม่ทำอะไร ดังนั้น เมื่อทีมงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดต่อมาว่ารัฐมนตรีอยากแลกเปลี่ยนความคิดเรื่อง 30 บาท ตนจึงตอบรับ
โดยในวันแรกที่พบกัน ตนเล่าความคิดเห็นของตนอย่างคร่าว ๆ แต่เงื่อนไขสำคัญที่ตนแจ้งต่อนายอนุทินไปคือ "ผมไม่ใช่ทีมงานของท่าน ผมไม่รับตำแหน่งใด ๆ ไม่รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานใด ๆ ไม่รับเบี้ยประชุม ไม่รับค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ผมมาในฐานะประชาชนชื่อ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่อยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พัฒนาไปอย่างยั่งยืน เป็นกำแพงพิงหลังให้ผู้ทนทุกข์ ไม่มีใครต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย และเป็นแบบอย่างที่งดงามให้กับองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศ"
หลังจากนั้น ทีมงานรัฐมนตรีติดต่อประสานงานกับตนอีกหลายครั้ง จนตนรู้สึกได้ว่าคราวนี้รัฐมนตรีฯ ท่าจะเอาจริง และนำไปสู่การนัดหมายครั้งที่ 2 เพื่อให้ตนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในวันที่ 2 สิงหาคม 2562 ตนจึงขับรถเข้าไปในกระทรวงสาธารณสุข ด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นการเข้าไปในกระทรวงสาธารณสุขครั้งแรกในรอบ 16 ปี ก่อนจะระบุข้อความบรรทัดสุดท้ายว่า "ยังมีต่อ" ทิ้งท้ายให้ผู้อ่านได้รอติดตามกันต่อไป
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
วันที่ 7 สิงหาคม 2562 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 30 บาทรักษาทุกโรค ควรก้าวต่อไปอย่างไร (ตอนที่ 1) ระบุว่า เหตุใดตนจึงไปนำเสนอข้อมูลเรื่อง 30 บาท ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั้น เนื่องจากตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ข่าวคราวเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นข่าวที่มี "อารมณ์ข่าว" แตกต่างไปจากหลายครั้งที่ผ่านมา โดย 4-5 ปีก่อนหน้านี้ เราได้รับฟังแต่ปัญหาของนโยบาย 30 บาท ในเรื่องงบประมาณไม่พอ ต้องให้มีการร่วมจ่ายเมื่อเจ็บป่วยบ้าง ผู้ป่วยมารักษาพยาบาลจนแออัดทั้งตึกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในบ้าง ความขัดแย้งระหว่างแพทย์ พยาบาลกับผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินบ้าง
สารพัดปัญหาเหล่านั้น ทำให้เกิดการโยนหินถามทางว่า ควรยกเลิกระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ใช้อยู่หรือไม่ แต่คนที่โยนหินก็กล้า ๆ กลัว ๆ สองจิตสองใจ ไม่มั่นใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป ซึ่งตนรับฟัง "ข่าวร้าย" ด้วยความรู้สึกหดหู่และหงุดหงิด แต่ก็บอกกับตนเองว่า "ปล่อยวางเถอะ เราได้ทำสิ่งที่เราควรทำแล้ว เดี๋ยวนี้และต่อจากนี้ ปล่อยให้เป็นบทบาทหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ ให้เขาทำต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเถิด ใครทำอะไรก็ย่อมได้รับผลของการกระทำนั้น"
สื่อมวลชนหลายแขนงทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ มาขอความเห็นตนเมื่อใด ตนก็แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและระมัดระวัง ไม่ข้ามเส้น ไม่ทำให้ใครคาดการณ์ไปได้ว่า ตนจะหวนกลับมาผลักดัน 30 บาทอีกครั้ง ซึ่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบางท่านได้เอ่ยปากเมื่อมีโอกาสพบกันว่า อยากให้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตนก็รับปากด้วยความยินดี แต่เมื่อท่านไม่นัดหมาย ตนก็ไม่ขวนขวายขอเข้าพบแต่อย่างใด
วันนี้ตนเป็นประชาชนที่อยู่ในวรรณะ "จัณฑาลทางการเมือง" มีเพียงสิทธิ์ในการไปลงคะแนนเลือกตั้ง ไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ๆ ไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ซึ่งตนก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่กลับสบายใจที่ไม่ต้องหาเหตุผลมาตอบมิตรสหายที่แวะเวียนมาสม่ำเสมอ เพื่อชักชวนเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง
นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร โดยตนได้ไปโหวตไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 มาด้วย ซึ่งตนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองกันให้มาก ๆ อีกทั้งยังไปลงคะแนนในวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ด้วยการเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ตามแนวทาง "เลือกอย่างมียุทธศาสตร์" และไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจ แต่ตนก็จะไม่ยอมเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องพังทลายลงต่อหน้าต่อตา โดยนิ่งดูดาย ไม่ทำอะไร ดังนั้น เมื่อทีมงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดต่อมาว่ารัฐมนตรีอยากแลกเปลี่ยนความคิดเรื่อง 30 บาท ตนจึงตอบรับ
โดยในวันแรกที่พบกัน ตนเล่าความคิดเห็นของตนอย่างคร่าว ๆ แต่เงื่อนไขสำคัญที่ตนแจ้งต่อนายอนุทินไปคือ "ผมไม่ใช่ทีมงานของท่าน ผมไม่รับตำแหน่งใด ๆ ไม่รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานใด ๆ ไม่รับเบี้ยประชุม ไม่รับค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ผมมาในฐานะประชาชนชื่อ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่อยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พัฒนาไปอย่างยั่งยืน เป็นกำแพงพิงหลังให้ผู้ทนทุกข์ ไม่มีใครต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย และเป็นแบบอย่างที่งดงามให้กับองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศ"
หลังจากนั้น ทีมงานรัฐมนตรีติดต่อประสานงานกับตนอีกหลายครั้ง จนตนรู้สึกได้ว่าคราวนี้รัฐมนตรีฯ ท่าจะเอาจริง และนำไปสู่การนัดหมายครั้งที่ 2 เพื่อให้ตนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในวันที่ 2 สิงหาคม 2562 ตนจึงขับรถเข้าไปในกระทรวงสาธารณสุข ด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นการเข้าไปในกระทรวงสาธารณสุขครั้งแรกในรอบ 16 ปี ก่อนจะระบุข้อความบรรทัดสุดท้ายว่า "ยังมีต่อ" ทิ้งท้ายให้ผู้อ่านได้รอติดตามกันต่อไป
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี