ยายคู่กรณีน้องการ์ตูน ยันภาพหลานสาวใช้ชีวิตอู้ฟู่ แค่ภาพเก่า ยันชีวิตหลังพ้นคุกไม่ได้สุขขนาดนั้น ครอบครัวแตกแยก ต้องขายของหาเงินประทังชีวิต ไร้ปัญญาจ่ายเงิดชดใช้ใคร
จากกรณี น้องการ์ตูน เด็กหญิงที่ถูกรถชนจนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ได้ออกมาขอรับบริจาคเงินเกือบ 2 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากคู่กรณีไม่ยอมจ่าย และแม้ว่าคู่กรณีจะพ้นโทษแล้วก็ไม่ติดต่อมา และเมื่อสืบทรัพย์ ก็พบว่า ไม่มีทรัพย์ให้สืบ แต่ล่าสุดกลับมีเพจดังออกมาแฉ ว่าหลังคู่กรณีออกจากคุกมาก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนคนมีฐานะ มีเงินซื้อเกม PS4 ให้แฟน ทั้งที่อ้างว่าไม่มีเงินใช้ และยังพบว่าเจ้าตัวมาเปิดร้านขายของภายในตลาดแห่งหนึ่งย่านเอกชัย [อ่านข่าว : แม่น้องการ์ตูน ขอเบาะแส คนชนน้องจนติดเตียง ไม่เยียวยา เอาเงินไปซื้อ PS4]
อย่างไรก็ตามหลังมีกระแสข่าวดังกล่าว วานนี้ (10 สิงหาคม 2562) รายการทุบโต๊ะข่าว ช่องอมรินทร์ ทีวี ได้เข้าไปสอบถามเรื่องราวจาก นางบุญ (นามสมมติ) อายุ 71 ปี ยายของ น.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม ซึ่งเป็นคู่กรณีกับครอบครัวของน้องการ์ตูน โดยนางบุญเผยว่า หลังทราบข่าวจากเฟซบุ๊กหลานก็ค่อนข้างเครียดและกดดันจนร้องไห้ ส่วนภาพที่ปรากฏออกไปก็ไม่ใช่ภาพของหลานสาวทั้งหมด แต่เป็นแฟนใหม่ของฝ่ายชายที่มีรูปร่างคล้ายกับหลานของตน
โดยหลังจาก น.ส.น้ำผึ้ง ติดคุกนานนับปี ครอบครัวก็แตกแยก
ลูกต้องอยู่ในความดูแลของแม่สามี แถม น.ส.น้ำผึ้ง
ยังถูกศาลสั่งฟ้องล้มละลายไว้
ดังนั้นจึงไม่มีเงินไปจ่ายหนี้แก่ผู้เสียหายแน่นอน
แต่หลานก็ยังพยายามจะออกมาทำงานค้าขายเพื่อใช้ชีวิตต่อ
ซึ่งก็ไม่ได้มีความสุขหรือมีเงินทองใช้ ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนที่มีคนออกมาพูด
ผู้เป็นยายยังยืนยันว่า ทางครอบครัวไม่สามารถไปจ่ายหนี้แทนได้ เพราะก็ต่างต้องทำมาหากินเช่นเดียวกัน ตนเองไม่รู้ว่าสังคมต้องการอะไรถึงนำภาพต่าง ๆ มาทำให้เกิดความเข้าใจผิด และขอย้ำอีกครั้งว่า ภาพบางส่วนที่ปรากฏเป็นภาพของหลานสาวตอนยังไม่เกิดเรื่อง และหลานของตนก็ผิวคล้ำ ไม่ได้มีผิวขาวเหมือนในภาพ
ด้าน นางสาวศรัญญา ชำนิ แม่น้องการ์ตูน เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อปี 2557 น้องการ์ตูนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถพูดหรือสื่อสารอะไรได้ และช่วงต้นปีหน้าน้องก็มีนัดผ่าตัดกระดูกสะโพก และจากนั้นอีก 3 เดือนก็จะผ่าตัดกระดูกสันหลังที่คดงอเกือบตั้งฉาก ในตอนนี้นอกจากตนต้องดูแลกิจการร้านสเต๊กและร้านข้าวแกง ก็ยังต้องแวะเข้ามาดูแลลูกสาวในช่วงพัก โดยน้องการ์ตูนนั้นมีคุณตากับคุณยายเป็นผู้ดูแล ตนจะได้กลับไปนอนกับน้องเพียงช่วงวันหยุดเท่านั้น
ทั้งนี้ แม่น้องการ์ตูน เผยว่าคงไม่ขอฝากอะไรถึงคู่กรณี เพราะเขารับรู้ได้เองอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีจิตสำนึกที่จะรับผิดชอบ เขารู้ตัวอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพียงแต่เลือกจะไม่ทำเท่านั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ภาพจาก อมรินทร์ ทีวี
จากกรณี น้องการ์ตูน เด็กหญิงที่ถูกรถชนจนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ได้ออกมาขอรับบริจาคเงินเกือบ 2 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากคู่กรณีไม่ยอมจ่าย และแม้ว่าคู่กรณีจะพ้นโทษแล้วก็ไม่ติดต่อมา และเมื่อสืบทรัพย์ ก็พบว่า ไม่มีทรัพย์ให้สืบ แต่ล่าสุดกลับมีเพจดังออกมาแฉ ว่าหลังคู่กรณีออกจากคุกมาก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนคนมีฐานะ มีเงินซื้อเกม PS4 ให้แฟน ทั้งที่อ้างว่าไม่มีเงินใช้ และยังพบว่าเจ้าตัวมาเปิดร้านขายของภายในตลาดแห่งหนึ่งย่านเอกชัย [อ่านข่าว : แม่น้องการ์ตูน ขอเบาะแส คนชนน้องจนติดเตียง ไม่เยียวยา เอาเงินไปซื้อ PS4]
อย่างไรก็ตามหลังมีกระแสข่าวดังกล่าว วานนี้ (10 สิงหาคม 2562) รายการทุบโต๊ะข่าว ช่องอมรินทร์ ทีวี ได้เข้าไปสอบถามเรื่องราวจาก นางบุญ (นามสมมติ) อายุ 71 ปี ยายของ น.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม ซึ่งเป็นคู่กรณีกับครอบครัวของน้องการ์ตูน โดยนางบุญเผยว่า หลังทราบข่าวจากเฟซบุ๊กหลานก็ค่อนข้างเครียดและกดดันจนร้องไห้ ส่วนภาพที่ปรากฏออกไปก็ไม่ใช่ภาพของหลานสาวทั้งหมด แต่เป็นแฟนใหม่ของฝ่ายชายที่มีรูปร่างคล้ายกับหลานของตน
ผู้เป็นยายยังยืนยันว่า ทางครอบครัวไม่สามารถไปจ่ายหนี้แทนได้ เพราะก็ต่างต้องทำมาหากินเช่นเดียวกัน ตนเองไม่รู้ว่าสังคมต้องการอะไรถึงนำภาพต่าง ๆ มาทำให้เกิดความเข้าใจผิด และขอย้ำอีกครั้งว่า ภาพบางส่วนที่ปรากฏเป็นภาพของหลานสาวตอนยังไม่เกิดเรื่อง และหลานของตนก็ผิวคล้ำ ไม่ได้มีผิวขาวเหมือนในภาพ
ด้าน นางสาวศรัญญา ชำนิ แม่น้องการ์ตูน เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อปี 2557 น้องการ์ตูนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถพูดหรือสื่อสารอะไรได้ และช่วงต้นปีหน้าน้องก็มีนัดผ่าตัดกระดูกสะโพก และจากนั้นอีก 3 เดือนก็จะผ่าตัดกระดูกสันหลังที่คดงอเกือบตั้งฉาก ในตอนนี้นอกจากตนต้องดูแลกิจการร้านสเต๊กและร้านข้าวแกง ก็ยังต้องแวะเข้ามาดูแลลูกสาวในช่วงพัก โดยน้องการ์ตูนนั้นมีคุณตากับคุณยายเป็นผู้ดูแล ตนจะได้กลับไปนอนกับน้องเพียงช่วงวันหยุดเท่านั้น
ทั้งนี้ แม่น้องการ์ตูน เผยว่าคงไม่ขอฝากอะไรถึงคู่กรณี เพราะเขารับรู้ได้เองอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีจิตสำนึกที่จะรับผิดชอบ เขารู้ตัวอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพียงแต่เลือกจะไม่ทำเท่านั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
