สภาอนุมัติ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพไทย ไปเป็นของหน่วยรักษาพระองค์ ชี้เป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็น
ระบุว่า เป็นกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการรักษาความปลอดภัยในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ดังนั้น การถวายการอารักขาถือว่าเป็นความมั่นคงของชาติ ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมใจของชาติ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้จึงเป็นกรณีฉุกเฉิน จึงเห็นชอบพระราชกำหนดดังกล่าว ตามที่ ครม. เสนอ
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายเห็นชอบและอนุมัติ พ.ร.ก.โอนอัตรากาลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการ ในพระองค์ พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ ระหว่างการอภิปราย นายสมชาย ได้ระบุถึงการประกาศโหวตมติสวนของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่และเลขาธิการพรรค ว่า เป็นอันตราย สร้างความคลางแคลงใจต่อประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หาก ส.ส. บางส่วนไม่มาสภา 5 ท่านก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมพรรคอนาคตใหม่ต้องสร้างความแตกแยกให้ประเทศไปสู่ความขัดแย้งอีก เพราะไม่อยากให้ประเทศย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมอีก
การประชุมวุฒิสภา สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการ ในพระองค์ พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ ภายหลังจากเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว ประธานวุฒิสภา ได้ให้สมาชิกโหวตลงมติ ซึ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน 226 คนโดยที่ประชุมมีมติอนุมัติเห็นชอบให้ผ่าน พ.ร.ก. ฉบับนี้ ด้วยคะแนน 223 เสียง งดออกเสียง 3 และไม่มีสมาชิก ส.ว. คนใด โหวตไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก. ดังกล่าว ซึ่งแสดงว่าที่ประชุมไม่มีใครคัดค้าน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะส่งกลับไปที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป