ดร.ธรณ์ ขยายความ 30 ปี กรุงเทพฯ จะจมน้ำ หมายความว่าอย่างไร ชี้ จมน้ำ ในที่นี้ไม่ใช่จมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด แต่หมายถึงพื้นที่ไหนที่น้ำท่วม ก็จะเกิดขึ้นบ่อยและนานมากขึ้น
ภาพจาก Climate Central
จากกรณีองค์กร Climate Central ได้ออกมาเผยผลวิจัยใหม่
เกี่ยวกับเมืองใหญ่ทั่วโลกที่เสี่ยงจะจมน้ำแน่นอนในปี 2593 หรืออีก 30
ปีข้างหน้า ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ โฮจิมินห์ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย
ที่จะจมหายไปใต้ทะเลด้วยนั้น
อ่านข่าว : กรุงเทพฯ เกินจุดเสี่ยงจมน้ำ แต่จมแน่นอน คาดปี 2593 Bangkok จะอยู่ใต้บาดาล
ล่าสุด
(31 ตุลาคม 2562) มีรายงานว่า ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวลงในเฟซบุ๊ก Thon
Thamrongnawasawat อธิบายถึงความหมายของคำว่า "จมน้ำ" ให้เข้าใจแบบง่าย ๆ ว่า
เดิมทีเราใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมของนาซา แต่มีปัญหาเรื่องระดับเส้นความสูงพื้นดิน
เพราะตามชายฝั่งมีทั้งต้นไม้และอาคาร แต่ระบบใหม่ที่ผู้วิจัยใช้นั้น
มีรายละเอียดสูงกว่า ช่วยแก้ไขความผิดพลาดจากระบบเดิม
ทำให้เราพบว่าจะมีพื้นที่ได้รับผลกระทบมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ส่วนที่มีข่าวว่า โลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 2 เมตรภายในศตวรรษนี้ ถ้าอ่านจากงานวิจัย จะพบว่า มีโอกาส 5% ที่น้ำจะสูงขึ้น 2 เมตร แต่ไม่มีใครกล้าฟันธงแบบเป๊ะ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าจะสูงขึ้น 20-30 เซนติเมตร ในปี 2050 และอาจสูง 50-70-100 เซนติเมตรในช่วงสิ้นศตวรรษ
อีกอย่างที่ต้องทำความเข้าใจคือ "จมน้ำ" ในที่นี้หมายถึงน้ำท่วม แต่ไม่ใช่ท่วมตลอดเวลาจนแผ่นดินกลายเป็นทะเลทั้งหมด แต่หมายถึง
1. พื้นที่จะเกิดน้ำทะเลเอ่อขึ้นแทบทุกวันเมื่อน้ำขึ้นสูง
2. น้ำท่วมมีบ่อยครั้งขึ้น
โดยปัญหาน้ำท่วม จะส่งผลกับพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้
โอกาสแรก : คิดตามง่าย ๆ เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เวลาน้ำขึ้น มันก็ต้องเอ่อเข้ามาตามชายฝั่งมากขึ้น ชุมชนริมทะเลหรือตามปากแม่น้ำ อาจเจอน้ำเอ่อท่วมเข้ามาหลายวันต่อเดือน (ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ แต่จะมีมากขึ้น)
โอกาสสอง : เมื่อฝนตกตามชายฝั่ง แต่น้ำทะเลสูงขึ้น น้ำก็ระบายออกยากขึ้น ยิ่งยุคนี้ฝนโลกร้อนตกโครมคราม น้ำรอการระบายจะนานขึ้น คนกรุงเทพฯ คงเข้าใจดี
โอกาสสาม : หากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เช่น พายุโซนร้อนผ่านมา มวลน้ำจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ไหลลงมาภาคกลาง แต่เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำพวกนั้นก็ระบายออกไม่ได้ กลายเป็นมหาอุทกภัยเหมือนที่เราเคยเจอ
แล้วเราจะรับมืออย่างไร ? ย้ายเมืองหลวง ?
แล้วจะย้ายไปไหน ในเมื่อพื้นที่ภาคกลางได้รับผลกระทบเกือบทั้งหมด ถ้าย้ายไปไกลก็ไม่ใช่ศูนย์กลาง ก็คงต้องอยู่ตรงนี้ต่อไป
ส่วนการรับมือเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ๆ ให้คิดได้แต่ทำได้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับความพยายามอย่างยิ่งยวดซึ่งอาจจะยากหน่อย เช่น
- กำหนดเขตชายฝั่งริมทะเลภาคกลางเป็นบัฟเฟอร์โซน ปลูกป่าเลนไว้ลดแรงคลื่นเมื่อพายุเข้า
- ไม่ลงทุนทำอะไรมากริมฝั่งในพื้นที่เสี่ยงมาก ๆ เพราะทำไปเดี๋ยวน้ำก็เอ่อล้นเข้ามา
- ยกระดับระบบระบายน้ำใน กทม. / เมืองให้ดีกว่านี้ ไม่พึ่งพาคูคลองตามธรรมชาติอย่างเดียว
- ต้องใช้ระบบไฮเทคเหมือนกับที่แชร์ ๆ กันในญี่ปุ่น เพื่อผลักน้ำออกไปให้ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มีเยอะ คงหาทางรับมือ แก้ไขกันไปตามสถานการณ์ เพราะโลกร้อนแรงขึ้น น่ากลัวยิ่งขึ้น พร้อมจะดูดเงินไปจากพวกเรา มากขึ้นและมากขึ้น ด้วยเหตุง่าย ๆ ว่าเราไปแกล้งโลกก่อน
ภาพจาก Craig Schuler / Shutterstock.com