ธนาธร เชิญ ผบ. เหล่าทัพ แจงต่อ กมธ.งบประมาณฯ ถามถึงรายได้จากสัมปทานสื่อ กิจการ ม้า มวย หวย ทำไม นายพล ร่ำรวยผิดปกติ จี้ใช้งบไหน ทำไอโอโจมตีพรรคการเมือง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2563 ได้ตั้งคำถามต่อการใช้งบประมาณของกระทรวงกลาโหม ต่อ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก
โดยนายธนาธรได้ตั้งคำถามประเด็นแรก เกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณกระทรวงกลาโหม รวม 18,657 ล้านบาท ซึ่งมากเกือบเท่างบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมกัน (1.9 หมื่นล้านบาท) ซึ่งตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เงินนอกงบประมาณทั้งหมด ต้องปฏิบัติตามกฎหมายกำหนด แต่ระเบียบการคลังทำไว้กับกระทรวงกลาโหมกระทรวงเดียว เท่ากับให้อำนาจพิเศษแก่กระทรวงกลาโหมมากกว่ากระทรวงอื่น ๆ ซึ่งข้อบังคับกระทรวงกลาโหมแบ่งเงินนอกงบประมาณเป็น 2 บัญชี เงินในบัญชีที่ 2 อนุญาตให้ตั้งในระบบบัญชีเอง และตั้งระบบตรวจสอบบัญชีเองได้ หมายความว่างบประมาณบางส่วนของกลาโหมมีความไม่โปร่งใส
นายธนาธรจึงขอให้กระทรวงกลาโหมเปิดเผยรายละเอียดของ
1. รายได้จากการใช้ทรัพยากรคลื่นวิทยุย้อนหลัง 10 ปี
2. รายชื่อบริษัทผู้รับบริหารสัมปทานคลื่นวิทยุ และสัญญากับทุกบริษัท
3. สัญญาระหว่างกองทัพบก กับช่อง 7 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2512
4. รายได้จากการให้สัมปทานช่อง 7 ทุกปี ตั้งแต่ปี 2512
5. รายได้อัตราค่าเช่าโครงข่ายภาคพื้นดิน หรือ MUX
6. ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหม กับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารจัดการงบประมาณ
7. รายละเอียดเงินนอกงบประมาณประเภท 1 และ 2 ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง
นายธนาธร กล่าวว่า เหตุที่อยากทราบรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะประชาชนตั้งคำถามว่า ทำไมบรรดานายพลจึงร่ำรวยผิดปกติ โดยดูจากบัญชีทรัพย์สินหนี้สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 รายได้ของนายพล 81 คน ที่อยู่ใน สนช. มีทรัพย์สินเฉลี่ย 78 ล้าน รายได้เฉลี่ย 12.72 ล้านบาทต่อปี หรือมีทรัพย์สิน 6.13 เท่าของรายได้ รายได้และทรัพย์สินเหล่านี้ไม่สามารถได้มาโดยลำพังเงินเดือนการเป็นทหารอย่างเดียว หมายความว่านายพลส่วนใหญ่มี "side business" หรือทำธุรกิจคู่ขนานกับการรับราชการ
นายธนาธร ยังย้ำด้วยว่า ได้ขอข้อมูลดังกล่าวไปตั้งแต่ตอนกระทรวงการคลังมาชี้แจงต่อ กมธ. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับเอกสารชี้แจงข้อมูลที่ขอไป
พล.อ. พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตอบว่า เงินนอกงบประมาณที่สูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท ไม่ได้มาจากการจัดทำของกระทรวงกลาโหม แต่เป็นการรวบรวมข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา และการเบิกจ่ายก็เป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือกระทรวงอื่น ๆ แต่อย่างใด ส่วนเรื่องความโปร่งใสของรายได้นายพล ผบ.สส. ยืนยันว่าผู้ได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ละคนอาจมีฐานความร่ำรวยแตกต่างกัน และได้แสดงความโปร่งใสผ่านการแสดงบัญชีทรัพย์สินแล้ว ทั้งก่อนและหลังการเข้ารับตำแหน่ง ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ พล.อ. พรพิพัฒน์ ยืนยันว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดส่งเอกสารให้แก่นายธนาธรต่อไป
ด้าน พล.อ. อภิรัชต์ ยืนยันว่า เงินนอกงบประมาณบางส่วนเป็นรายได้จากโรงพยาบาลของกองทัพ ซึ่งประชาชนก็เข้ารับการรักษาพยาบาลเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป รายรับบางส่วนจะนำกลับมาหมุนเวียนในการบริหาร ส่วนกรณีค่า MUX ช่อง 5 และช่อง 7 ทางช่อง 7 ได้หมดสัญญาไปแล้วตั้งแต่ปี 2561 ส่วนในกรณีการปรับลดอัตรากำลังพล กองทัพมีแผนการปรับลดกำลังพลอยู่แล้ว ทั้งนายพลและพลทหาร อย่างไรก็ตาม พล.อ. อภิรัชต์ ไม่ได้ตอบคำถามกรณีความร่ำรวยผิดปกติของเหล่านายพลแต่อย่างใด
ในประเด็นต่อมา นายธนาธรตั้งคำถามถึงกิจกรรมของกองทัพที่ไม่อยู่ในภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นม้า มวย หวย หรือกิจการพาณิชย์ สนามมวยลุมพินีแห่งใหม่ ที่รามอินทรา ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นกิจการของรัฐหรือเอกชนกันแน่ รายได้ถูกนำไปทางไหน และถามกลับด้วยว่า หากสนามม้า สนามมวย ยังต้องมีอยู่ ทำไมจึงต้องขึ้นกับกองทัพ ทั้งที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของกองทัพ
นายธนาธร ยังถามอีกด้วยว่า มีข้อมูลมากมายปรากฏทั่วไปว่ากองทัพมีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร มีแม้แต่เอกสารวิชาการที่ทำวิจัยเรื่องดังกล่าว และมีแฟนเพจเฟซบุ๊กที่ชัดเจนว่าเป็นหน่วยงานทหาร แต่โพสต์ข่าวใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองบางพรรคอย่างต่อเนื่องด้วยวาทะเกลียดชัง สร้างความแตกแยกในสังคม นายธนาธรจึงถามไปยังกระทรวงกลาโหมว่า ทางกระทรวงมีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไม่ ถ้ามี อยู่ในหน่วยงานใด ใช้งบเท่าไหร่ และหากมีปฏิบัติการนี้ อำนาจในการกำหนดเนื้อหา เช่น ใครเป็น "ศัตรูของชาติ" หรืออะไรคือ "ความจริงที่ถูกต้อง" อยู่ที่ใคร ?
ในกรณีนี้ พล.อ. พรพิพัฒน์ ยืนยันว่า การดำเนินกิจการมวย ม้า มาจากกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน และการดูแลสวัสดิการทหารผ่านศึก แต่หากจะให้ตอบว่าการให้กิจการเหล่านี้อยู่ในการดูแลของกองทัพเหมาะสมหรือไม่ ก็คงต้องตอบว่า กองทัพทำแบบนี้มานานแล้ว คงต้องอยู่ที่นโยบายรัฐบาลว่าจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมหรือไม่อย่างไร ส่วนประเด็นเรื่องปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ ที่โจมตีพรรคการเมือง ทางเหล่าทัพไม่ได้ชี้แจง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
โดยนายธนาธรได้ตั้งคำถามประเด็นแรก เกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณกระทรวงกลาโหม รวม 18,657 ล้านบาท ซึ่งมากเกือบเท่างบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมกัน (1.9 หมื่นล้านบาท) ซึ่งตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เงินนอกงบประมาณทั้งหมด ต้องปฏิบัติตามกฎหมายกำหนด แต่ระเบียบการคลังทำไว้กับกระทรวงกลาโหมกระทรวงเดียว เท่ากับให้อำนาจพิเศษแก่กระทรวงกลาโหมมากกว่ากระทรวงอื่น ๆ ซึ่งข้อบังคับกระทรวงกลาโหมแบ่งเงินนอกงบประมาณเป็น 2 บัญชี เงินในบัญชีที่ 2 อนุญาตให้ตั้งในระบบบัญชีเอง และตั้งระบบตรวจสอบบัญชีเองได้ หมายความว่างบประมาณบางส่วนของกลาโหมมีความไม่โปร่งใส
นายธนาธรจึงขอให้กระทรวงกลาโหมเปิดเผยรายละเอียดของ
1. รายได้จากการใช้ทรัพยากรคลื่นวิทยุย้อนหลัง 10 ปี
2. รายชื่อบริษัทผู้รับบริหารสัมปทานคลื่นวิทยุ และสัญญากับทุกบริษัท
3. สัญญาระหว่างกองทัพบก กับช่อง 7 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2512
4. รายได้จากการให้สัมปทานช่อง 7 ทุกปี ตั้งแต่ปี 2512
5. รายได้อัตราค่าเช่าโครงข่ายภาคพื้นดิน หรือ MUX
6. ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหม กับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารจัดการงบประมาณ
7. รายละเอียดเงินนอกงบประมาณประเภท 1 และ 2 ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง
นายธนาธร กล่าวว่า เหตุที่อยากทราบรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะประชาชนตั้งคำถามว่า ทำไมบรรดานายพลจึงร่ำรวยผิดปกติ โดยดูจากบัญชีทรัพย์สินหนี้สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 รายได้ของนายพล 81 คน ที่อยู่ใน สนช. มีทรัพย์สินเฉลี่ย 78 ล้าน รายได้เฉลี่ย 12.72 ล้านบาทต่อปี หรือมีทรัพย์สิน 6.13 เท่าของรายได้ รายได้และทรัพย์สินเหล่านี้ไม่สามารถได้มาโดยลำพังเงินเดือนการเป็นทหารอย่างเดียว หมายความว่านายพลส่วนใหญ่มี "side business" หรือทำธุรกิจคู่ขนานกับการรับราชการ
นายธนาธร ยังย้ำด้วยว่า ได้ขอข้อมูลดังกล่าวไปตั้งแต่ตอนกระทรวงการคลังมาชี้แจงต่อ กมธ. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับเอกสารชี้แจงข้อมูลที่ขอไป
พล.อ. พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตอบว่า เงินนอกงบประมาณที่สูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท ไม่ได้มาจากการจัดทำของกระทรวงกลาโหม แต่เป็นการรวบรวมข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา และการเบิกจ่ายก็เป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือกระทรวงอื่น ๆ แต่อย่างใด ส่วนเรื่องความโปร่งใสของรายได้นายพล ผบ.สส. ยืนยันว่าผู้ได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ละคนอาจมีฐานความร่ำรวยแตกต่างกัน และได้แสดงความโปร่งใสผ่านการแสดงบัญชีทรัพย์สินแล้ว ทั้งก่อนและหลังการเข้ารับตำแหน่ง ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ พล.อ. พรพิพัฒน์ ยืนยันว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดส่งเอกสารให้แก่นายธนาธรต่อไป
ด้าน พล.อ. อภิรัชต์ ยืนยันว่า เงินนอกงบประมาณบางส่วนเป็นรายได้จากโรงพยาบาลของกองทัพ ซึ่งประชาชนก็เข้ารับการรักษาพยาบาลเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป รายรับบางส่วนจะนำกลับมาหมุนเวียนในการบริหาร ส่วนกรณีค่า MUX ช่อง 5 และช่อง 7 ทางช่อง 7 ได้หมดสัญญาไปแล้วตั้งแต่ปี 2561 ส่วนในกรณีการปรับลดอัตรากำลังพล กองทัพมีแผนการปรับลดกำลังพลอยู่แล้ว ทั้งนายพลและพลทหาร อย่างไรก็ตาม พล.อ. อภิรัชต์ ไม่ได้ตอบคำถามกรณีความร่ำรวยผิดปกติของเหล่านายพลแต่อย่างใด
ในประเด็นต่อมา นายธนาธรตั้งคำถามถึงกิจกรรมของกองทัพที่ไม่อยู่ในภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นม้า มวย หวย หรือกิจการพาณิชย์ สนามมวยลุมพินีแห่งใหม่ ที่รามอินทรา ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นกิจการของรัฐหรือเอกชนกันแน่ รายได้ถูกนำไปทางไหน และถามกลับด้วยว่า หากสนามม้า สนามมวย ยังต้องมีอยู่ ทำไมจึงต้องขึ้นกับกองทัพ ทั้งที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของกองทัพ
นายธนาธร ยังถามอีกด้วยว่า มีข้อมูลมากมายปรากฏทั่วไปว่ากองทัพมีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร มีแม้แต่เอกสารวิชาการที่ทำวิจัยเรื่องดังกล่าว และมีแฟนเพจเฟซบุ๊กที่ชัดเจนว่าเป็นหน่วยงานทหาร แต่โพสต์ข่าวใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองบางพรรคอย่างต่อเนื่องด้วยวาทะเกลียดชัง สร้างความแตกแยกในสังคม นายธนาธรจึงถามไปยังกระทรวงกลาโหมว่า ทางกระทรวงมีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไม่ ถ้ามี อยู่ในหน่วยงานใด ใช้งบเท่าไหร่ และหากมีปฏิบัติการนี้ อำนาจในการกำหนดเนื้อหา เช่น ใครเป็น "ศัตรูของชาติ" หรืออะไรคือ "ความจริงที่ถูกต้อง" อยู่ที่ใคร ?
ในกรณีนี้ พล.อ. พรพิพัฒน์ ยืนยันว่า การดำเนินกิจการมวย ม้า มาจากกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน และการดูแลสวัสดิการทหารผ่านศึก แต่หากจะให้ตอบว่าการให้กิจการเหล่านี้อยู่ในการดูแลของกองทัพเหมาะสมหรือไม่ ก็คงต้องตอบว่า กองทัพทำแบบนี้มานานแล้ว คงต้องอยู่ที่นโยบายรัฐบาลว่าจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมหรือไม่อย่างไร ส่วนประเด็นเรื่องปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ ที่โจมตีพรรคการเมือง ทางเหล่าทัพไม่ได้ชี้แจง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ