นายกรัฐมนตรี ชี้แจงปมภรรยาถูกโยงมีความเกี่ยวข้อง ปมทุจริตโครงการไบโอเมทริกซ์ ลั่น ไอ้คนโง่ไปเชื่อ
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 มีรายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาเรื่องความไม่โปร่งใสของการจัดซื้อจัดจ้างโครงการสัญญา หรือข้อตกลงเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยี หรือ ไบโอเมทริกซ์ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กับญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายบุคคล วันที่ 3
สืบเนื่องจาก นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ระบุว่า โครงการดังกล่าวส่อทุจริต เพราะมีการจัดซื้อที่แพงกว่าราคาตลาด และระบุอีกว่า มีมาดามทำเนียบซึ่งเป็นภรรยาของบุคคลสำคัญในรัฐบาล เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะมีเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บยส.) รุ่นที่ 15 ที่เรียนด้วยกันมาทำโครงการนี้
โดย พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงว่า โครงการนี้เป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยเป็นเงินงบประมาณที่ได้มาจากเงินค่าธรรมเนียมตรวจคนเข้าเมือง ปี 2559-2560 ซึ่งเป็นระบบที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ และกระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความคุ้มค่าจึงอนุมัติ สตช. ทำสัญญากับกิจการค้าร่วมเอ็มที และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับเพื่อใช้ในราชการแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 และมีการติดตั้งจำนวน 1,843 ชุด
ทั้งนี้ ขอความเป็นธรรม ในเรื่องของการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนั้นก็มีหลายคนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันแล้วจะต้องไปร่วมกระทำความผิด ถ้าเหมารวมกันแบบนี้ ตนคิดว่าหลายคนที่หนีไปก็มีเพื่อนร่วมรุ่น ดังนั้น หมายความว่าจะต้องผิดทุจริตกันหมดอย่างนั้นหรือไม่ มันอยู่ที่ตัวบุคคล ภรรยาตนเป็นอาจารย์มาก่อน และคอยเตือนตนเสมอในเรื่องการทุจริต
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้ติดตามสอบถามจาก สตม. มาโดยตลอด และทราบว่าวงเงินของโครงการทั้งหมด 2,126 ล้านบาท ในส่วนที่กล่าวอ้างว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กับโครงการนั้น ตนไม่อยากไปก้าวล่วง เพราะเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย และการทำสัญญาไม่ใช่ซื้อแต่กล้องเท่านั้น เพราะที่แพงคือระบบ ระบบมาจากต่างประเทศ ถ้าเขาไม่ขายก็ทำไม่ได้ ตนยืนยันว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรให้ใครและไม่มีการทุจริต
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีคณะกรรมการตรวจสอบทุกขั้นตอน ตนเชื่อมั่นในภรรยา ตนไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว ถ้าเขาเป็นเพื่อนกับภรรยาตนก็เป็นเรื่องส่วนตัว รู้จักกันแต่ไม่ได้คุยกัน ถ้าอ้างคนตรงนี้ก็เดือดร้อนกันหมด เพราะทุกคนเรียนหลายหลักสูตร ฉะนั้นถ้าใครไปอ้าง เพราะวันนี้มีคนไปอ้างเยอะ อ้างนายกฯ สั่ง อ้างรองนายกฯ สั่ง คนโง่ก็ไปเชื่อ ตนบอกแล้วให้มาถามตนว่าสั่งจริงหรือไม่ ไปเชื่อได้อย่างไร แม้กระทั่งในโซเชียลก็มีการกล่าวอ้างและใส่ร้ายกันเต็มไปหมด เห็นเยอะในโซเชียลด่ากันไปด่ากันมา ปลุกระดมคนให้มาทะเลาะกัน
พล.อ. ประยุทธ์ ระบุอีกว่า ตนคิดว่าจะต้องมีการตรวจสอบ ในส่วนของบางพรรคเขาทำ ทำเยอะด้วย ก็คงต้องตรวจสอบกันทั้งหมด ไม่ได้ขู่ใคร แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะดำเนินการต่อไปในขั้นตอนอื่น บางเรื่องไม่ควรจะมาโจมตีกัน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น เพราะรู้สึกว่าท่านชอบที่จะให้ต่างประเทศลดความเชื่อมั่นตน แต่ก็ไม่เป็นไร ตนทนได้
![บิ๊กตู่ บิ๊กตู่]()
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 มีรายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาเรื่องความไม่โปร่งใสของการจัดซื้อจัดจ้างโครงการสัญญา หรือข้อตกลงเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยี หรือ ไบโอเมทริกซ์ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กับญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายบุคคล วันที่ 3
สืบเนื่องจาก นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ระบุว่า โครงการดังกล่าวส่อทุจริต เพราะมีการจัดซื้อที่แพงกว่าราคาตลาด และระบุอีกว่า มีมาดามทำเนียบซึ่งเป็นภรรยาของบุคคลสำคัญในรัฐบาล เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะมีเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บยส.) รุ่นที่ 15 ที่เรียนด้วยกันมาทำโครงการนี้
โดย พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงว่า โครงการนี้เป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยเป็นเงินงบประมาณที่ได้มาจากเงินค่าธรรมเนียมตรวจคนเข้าเมือง ปี 2559-2560 ซึ่งเป็นระบบที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ และกระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความคุ้มค่าจึงอนุมัติ สตช. ทำสัญญากับกิจการค้าร่วมเอ็มที และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับเพื่อใช้ในราชการแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 และมีการติดตั้งจำนวน 1,843 ชุด
ทั้งนี้ ขอความเป็นธรรม ในเรื่องของการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนั้นก็มีหลายคนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันแล้วจะต้องไปร่วมกระทำความผิด ถ้าเหมารวมกันแบบนี้ ตนคิดว่าหลายคนที่หนีไปก็มีเพื่อนร่วมรุ่น ดังนั้น หมายความว่าจะต้องผิดทุจริตกันหมดอย่างนั้นหรือไม่ มันอยู่ที่ตัวบุคคล ภรรยาตนเป็นอาจารย์มาก่อน และคอยเตือนตนเสมอในเรื่องการทุจริต
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้ติดตามสอบถามจาก สตม. มาโดยตลอด และทราบว่าวงเงินของโครงการทั้งหมด 2,126 ล้านบาท ในส่วนที่กล่าวอ้างว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กับโครงการนั้น ตนไม่อยากไปก้าวล่วง เพราะเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย และการทำสัญญาไม่ใช่ซื้อแต่กล้องเท่านั้น เพราะที่แพงคือระบบ ระบบมาจากต่างประเทศ ถ้าเขาไม่ขายก็ทำไม่ได้ ตนยืนยันว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรให้ใครและไม่มีการทุจริต
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีคณะกรรมการตรวจสอบทุกขั้นตอน ตนเชื่อมั่นในภรรยา ตนไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว ถ้าเขาเป็นเพื่อนกับภรรยาตนก็เป็นเรื่องส่วนตัว รู้จักกันแต่ไม่ได้คุยกัน ถ้าอ้างคนตรงนี้ก็เดือดร้อนกันหมด เพราะทุกคนเรียนหลายหลักสูตร ฉะนั้นถ้าใครไปอ้าง เพราะวันนี้มีคนไปอ้างเยอะ อ้างนายกฯ สั่ง อ้างรองนายกฯ สั่ง คนโง่ก็ไปเชื่อ ตนบอกแล้วให้มาถามตนว่าสั่งจริงหรือไม่ ไปเชื่อได้อย่างไร แม้กระทั่งในโซเชียลก็มีการกล่าวอ้างและใส่ร้ายกันเต็มไปหมด เห็นเยอะในโซเชียลด่ากันไปด่ากันมา ปลุกระดมคนให้มาทะเลาะกัน
พล.อ. ประยุทธ์ ระบุอีกว่า ตนคิดว่าจะต้องมีการตรวจสอบ ในส่วนของบางพรรคเขาทำ ทำเยอะด้วย ก็คงต้องตรวจสอบกันทั้งหมด ไม่ได้ขู่ใคร แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะดำเนินการต่อไปในขั้นตอนอื่น บางเรื่องไม่ควรจะมาโจมตีกัน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น เพราะรู้สึกว่าท่านชอบที่จะให้ต่างประเทศลดความเชื่อมั่นตน แต่ก็ไม่เป็นไร ตนทนได้








