อธิบดีกรมควบคุมโรค เผย คนไทยเสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อนทุกปี เฉลี่ยปีละ 38 ราย พบปี 2562 ยอดพุ่ง 57 ราย เสียชีวิตมากที่สุดในเดือนเมษายน
จากกรณีกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเตือนประชาชนให้งดทำงานกลางแดด เนื่องจากในช่วงสัปดาห์นี้ ประเทศไทยจะมีสภาพอากาศร้อนจัด อุณหภูมิตั้งแต่ 36-41 องศาเซลเซียส หวั่นเกิด ฮีตสโตรก (Heat Stroke) อันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีอาชีพทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด เช่น กรรมกร ก่อสร้าง เกษตรกร กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว นั้น
อ่านข่าว : ไทยร้อนจัด ทะลุ 42 องศาฯ แพทย์เตือนระวัง ฮีตสโตรก อันตรายถึงตายได้
อ่านข่าว : ไทยร้อนจัด ทะลุ 42 องศาฯ แพทย์เตือนระวัง ฮีตสโตรก อันตรายถึงตายได้
ภาพจาก windy.com
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (8 พฤษภาคม 2563) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ตั้งแต่ปี 2558-2562 พบผู้เสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อนทุกปี เฉลี่ยปีละ 38 ราย และช่วงฤดูร้อนปี 2562 มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูง 40 องศาเซลเซียส มีผู้เสียชีวิตถึง 57 ราย มากที่สุดในเดือนเมษายน
โดยกลุ่มเสี่ยงมีดังนี้
- อาชีพรับจ้าง ร้อยละ 23
- คนเร่ร่อน ร้อยละ 9
- เกษตรกร ร้อยละ 7
- มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ร้อยละ 39
- ดื่มสุราประจำ ร้อยละ 19
- ทำกิจกรรมเสี่ยงกลางแจ้ง ร้อยละ 21
สำหรับอาการฮีตสโตรก คนที่มีอาการจะตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีเหงื่อออก กระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ รีบนำผู้ป่วยเข้าในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ดื่มน้ำเย็น และให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทร. สายด่วน 1669
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ รีบนำผู้ป่วยเข้าในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ดื่มน้ำเย็น และให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทร. สายด่วน 1669
ภาพจาก เฟซบุ๊ก กรมอุตุนิยมวิทยา
ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข