คุณพ่องงหนัก พาภรรยาท้องแก่ ไปฉีดยารักษาลูกใช้สิทธิประกันสังคม แต่กลับเบิกไม่ได้ บอกว่า สิทธิแม่ลูกแยกออกจากกัน เมื่อไปถามฝั่งบัตรทอง กลับตอบคนละแบบ บอกว่า ให้ใช้สิทธิร่วมกับแม่ได้ แล้วแบบนี้มันคืออะไรกันแน่ ด้านโซเชียลสวดประกันสังคมยับ
วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 เฟซบุ๊ก Drama-addict มีการโพสต์เรื่องราวของคุณพ่อรายหนึ่ง ที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ว่าเด็กในท้องต้องรับการรักษาโรค แล้วพบปัญหาช่องว่างของระบบประกันสังคมกับประกันสุขภาพ มีรายละเอียดดังนี้
ทั้งนี้ ภรรยาของชายคนดังกล่าว ตั้งครรภ์ โดยมีประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาล A แต่เข้ารับการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล B เมื่ออายุครรภ์ 7 เดือน เด็กในท้องมีอาการไตบวมผิดปกติ หมอจึงให้แอดมิตด่วน ฉีดยากระตุ้นปอดไป 4 เข็ม โดยฉีดให้ที่แม่ เพื่อไปรักษาเด็กในท้อง ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่คนเป็นแม่มีสิทธิประกันสังคมอยู่
หลังจากการรักษา พ่อได้ติดต่อไปยังประกันสังคมของโรงพยาบาล เพื่อเบิกค่าใช้จ่าย ทางนั้นบอกว่า ยานี้ฉีดให้ลูก ไม่ได้ฉีดให้แม่ ถือว่าไม่ครอบคลุมกับค่าใช้จ่าย ทางครอบครัวต้องรับผิดชอบค่ารักษาเอง จึงทำให้พ่อนั้นสงสัยว่า เด็กยังอยู่ในท้อง สิทธิต่าง ๆ ยังไม่ได้ แถมสิทธิแม่ก็ไม่ครอบคลุมอีก เบื้องต้น คุณพ่อต้องจ่ายเงินค่ารักษา 4 พันบาทไปแบบจำยอม
อย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังคาใจ ลองติดต่อไปที่สายด่วนประกันสังคม เพื่อขอคำตอบ ก็ได้คำตอบเดียวกัน แต่เมื่อติดต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือบัตรทอง เพื่อขอรายละเอียด ทางนั้นตอบกลับมาว่า เด็กยังไม่คลอด สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม ให้ใช้สิทธิร่วมกับแม่ได้
ด้วยความที่คำตอบของ 2 หน่วยงานไม่ตรงกัน คุณพ่อได้แต่สงสัย และมองว่าเป็นช่องว่างของกฎประกันสังคมแน่ ๆ ทำไมต้องแยกสิทธิเด็กในท้องออกจากแม่ด้วย จึงอยากให้เพจเป็นกระบอกเสียงเพื่อให้มีการแก้ไขกฎในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คุณแม่ตั้งท้องได้ 30 สัปดาห์ และคุณหมอก็ต้องรอให้ครบ 3 สัปดาห์ก่อน ถึงจะสามารถทำคลอดได้ ซึ่งทางคุณพ่อบอกว่า โชคดีที่ตนพอมีเงินในบัญชีบ้าง หากเป็นช่วงโควิดหนัก ๆ ครอบครัวของตนต้องแย่แน่นอน
ด้านผู้ที่ได้อ่านเรื่องนี้ มีบางส่วนที่มองว่า ประกันสังคมอาจจะเลี่ยงบาลีไม่ยอมจ่าย เพราะความเป็นจริง สิทธิความเป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ตั้งแต่ในครรภ์มารดา แต่จะได้รับก็ต่อเมื่อคลอดออกมาแล้ว ถ้ายังไม่คลอด ถือว่าใช้สิทธิร่วมกับแม่ไปก่อน
ในขณะที่คนส่วนหนึ่ง ก็ออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า แม้จะฉีดยากระตุ้นปอด แต่ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเอง บางคนได้ยาระงับคลอดมากิน ตอนผ่าเด็กออกมาแล้วยังอยู่ในตู้อบอีกนาน เสียค่าใช้จ่ายครึ่งล้าน แต่ประกันสังคมออกให้จ่ายค่าส่วนต่างแค่ไม่กี่พันบาท อีกอย่างสิทธิการคลอดของประกันสังคมเป็นแบบเหมาจ่าย ไม่ว่าใครฉีดยาให้ ฉีดที่ไหน ก็ครอบคลุมเหมือนกันหมด เรื่องนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดกันไปเอง
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนที่มองว่า โรงพยาบาลที่คุณแม่มีสิทธิประกันสังคมอยู่ที่หนึ่ง แต่คุณแม่ก็ไปฝากครรภ์อยู่อีกที่หนึ่ง ในใบเสร็จเองก็ระบุว่าคุณแม่อยู่ห้องพิเศษ อาจจะเกิดจากการสื่อสารกันไม่เข้าใจหรือเปล่า
![หญิงท้องฉีดยารักษาลูกในท้อง หญิงท้องฉีดยารักษาลูกในท้อง]()
![หญิงท้องฉีดยารักษาลูกในท้อง หญิงท้องฉีดยารักษาลูกในท้อง]()
![หญิงท้องฉีดยารักษาลูกในท้อง หญิงท้องฉีดยารักษาลูกในท้อง]()
วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 เฟซบุ๊ก Drama-addict มีการโพสต์เรื่องราวของคุณพ่อรายหนึ่ง ที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ว่าเด็กในท้องต้องรับการรักษาโรค แล้วพบปัญหาช่องว่างของระบบประกันสังคมกับประกันสุขภาพ มีรายละเอียดดังนี้
ทั้งนี้ ภรรยาของชายคนดังกล่าว ตั้งครรภ์ โดยมีประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาล A แต่เข้ารับการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล B เมื่ออายุครรภ์ 7 เดือน เด็กในท้องมีอาการไตบวมผิดปกติ หมอจึงให้แอดมิตด่วน ฉีดยากระตุ้นปอดไป 4 เข็ม โดยฉีดให้ที่แม่ เพื่อไปรักษาเด็กในท้อง ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่คนเป็นแม่มีสิทธิประกันสังคมอยู่
หลังจากการรักษา พ่อได้ติดต่อไปยังประกันสังคมของโรงพยาบาล เพื่อเบิกค่าใช้จ่าย ทางนั้นบอกว่า ยานี้ฉีดให้ลูก ไม่ได้ฉีดให้แม่ ถือว่าไม่ครอบคลุมกับค่าใช้จ่าย ทางครอบครัวต้องรับผิดชอบค่ารักษาเอง จึงทำให้พ่อนั้นสงสัยว่า เด็กยังอยู่ในท้อง สิทธิต่าง ๆ ยังไม่ได้ แถมสิทธิแม่ก็ไม่ครอบคลุมอีก เบื้องต้น คุณพ่อต้องจ่ายเงินค่ารักษา 4 พันบาทไปแบบจำยอม
อย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังคาใจ ลองติดต่อไปที่สายด่วนประกันสังคม เพื่อขอคำตอบ ก็ได้คำตอบเดียวกัน แต่เมื่อติดต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือบัตรทอง เพื่อขอรายละเอียด ทางนั้นตอบกลับมาว่า เด็กยังไม่คลอด สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม ให้ใช้สิทธิร่วมกับแม่ได้
ด้วยความที่คำตอบของ 2 หน่วยงานไม่ตรงกัน คุณพ่อได้แต่สงสัย และมองว่าเป็นช่องว่างของกฎประกันสังคมแน่ ๆ ทำไมต้องแยกสิทธิเด็กในท้องออกจากแม่ด้วย จึงอยากให้เพจเป็นกระบอกเสียงเพื่อให้มีการแก้ไขกฎในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คุณแม่ตั้งท้องได้ 30 สัปดาห์ และคุณหมอก็ต้องรอให้ครบ 3 สัปดาห์ก่อน ถึงจะสามารถทำคลอดได้ ซึ่งทางคุณพ่อบอกว่า โชคดีที่ตนพอมีเงินในบัญชีบ้าง หากเป็นช่วงโควิดหนัก ๆ ครอบครัวของตนต้องแย่แน่นอน
ด้านผู้ที่ได้อ่านเรื่องนี้ มีบางส่วนที่มองว่า ประกันสังคมอาจจะเลี่ยงบาลีไม่ยอมจ่าย เพราะความเป็นจริง สิทธิความเป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ตั้งแต่ในครรภ์มารดา แต่จะได้รับก็ต่อเมื่อคลอดออกมาแล้ว ถ้ายังไม่คลอด ถือว่าใช้สิทธิร่วมกับแม่ไปก่อน
ในขณะที่คนส่วนหนึ่ง ก็ออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า แม้จะฉีดยากระตุ้นปอด แต่ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเอง บางคนได้ยาระงับคลอดมากิน ตอนผ่าเด็กออกมาแล้วยังอยู่ในตู้อบอีกนาน เสียค่าใช้จ่ายครึ่งล้าน แต่ประกันสังคมออกให้จ่ายค่าส่วนต่างแค่ไม่กี่พันบาท อีกอย่างสิทธิการคลอดของประกันสังคมเป็นแบบเหมาจ่าย ไม่ว่าใครฉีดยาให้ ฉีดที่ไหน ก็ครอบคลุมเหมือนกันหมด เรื่องนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดกันไปเอง
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนที่มองว่า โรงพยาบาลที่คุณแม่มีสิทธิประกันสังคมอยู่ที่หนึ่ง แต่คุณแม่ก็ไปฝากครรภ์อยู่อีกที่หนึ่ง ในใบเสร็จเองก็ระบุว่าคุณแม่อยู่ห้องพิเศษ อาจจะเกิดจากการสื่อสารกันไม่เข้าใจหรือเปล่า










