คณะทำงานอัยการ แถลงผลตรวจสอบคดี วรยุทธ อยู่วิทยา
เผยเหตุไม่สั่งฟ้องประมาท เหตุขณะนั้นไม่พบหลักฐานขับเร็ว
ตอนแรกตั้งใจจะฟ้อง 4 ข้อหา จากที่ตำรวจจะฟ้องแค่ 3
แต่สุดท้ายบอสไม่มาพบอัยการ เลยสั่งฟ้องไม่ได้
วันที่ 4 สิงหาคม 2563 คณะทำงานอัยการซึ่งตรวจสอบคดี บอส อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง
คดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555
แถลงข่าวข้อเท็จจริงในกรณีไม่สั่งฟ้อง และคดีต่าง ๆ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ภาพจาก Thai AGO
บอส อยู่วิทยา ถูกตั้งข้อหา 5 ข้อหา ตำรวจเห็นฟ้อง 3 ข้อหา อัยการเห็นฟ้อง 4 ข้อหา
นายวรยุทธ อยู่วิทยา ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาจากคดีขับรถชน ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ ซึ่งอัยการได้รับสำนวนจากตำรวจให้พิจารณาคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ดังนี้
- ข้อหาขับรถโดยประมาทจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
- ขับรถประมาทให้ผู้อื่นเสียทรัพย์
- หลบหนีไม่ให้การช่วยเหลือ
- ขับรถเร็ว
- เมาแล้วขับ
ในตอนแรก พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่ฟ้องใน 2 ข้อหา คือ ขับรถเร็ว และเมาแล้วขับ (เหลือฟ้อง 3 ข้อหา) ทว่าเมื่อไปถึงชั้นอัยการ อัยการสั่งฟ้องทุกข้อหา ยกเว้นเมาแล้วขับ (เหลือฟ้อง 4 ข้อหา คือ ข้อหาขับรถโดยประมาทจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ขับรถประมาทให้ผู้อื่นเสียทรัพย์, หลบหนีไม่ให้การช่วยเหลือ และขับรถเร็ว) ซึ่งเมื่อนำเสนอเรื่องไปยังอัยการพิเศษ อัยการฝ่าย อธิบดีอัยการ ก็เห็นด้วยที่จะฟ้องนายบอสทั้งหมด 4 ข้อหา ยกเว้นเมาแล้วขับ
กรณีไม่ฟ้องข้อหาเมาแล้วขับ เพราะตอนที่ตรวจเลือดนั้นไม่ตรงกับตอนเกิดเหตุ ซึ่งผลการคำนวนจากระยะเวลากับแอลกอฮอล์ในเลือด พบว่า หากดื่มตอนขับจะมีปริมาณสูงถึง 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้หมดสติ ซึ่งไม่สอดคล้อง บวกกับมีพยานในบ้านบอกว่าผู้ต้องหามีการดื่มแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุ จึงนำมาซึ่งการสั่งไม่ฟ้อง
ด้าน ด.ต. วิเชียร ถูกตั้งข้อหาขับรถโดยประมาท แต่อัยการมีความเห็นไม่ฟ้อง เนื่องจากเสียชีวิตแล้ว
ภาพจาก Thai AGO
ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า กรณีดังกล่าวผู้ต้องหาไม่ได้อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ ซึ่งได้มีการเรียกตัวแล้ว จนหลายคดีขาดอายุความ (ขับรถประมาทให้ผู้อื่นเสียทรัพย์, หลบหนีไม่ให้การช่วยเหลือ และขับรถเร็ว) ทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีได้ ทั้งที่มีการร้องเรียนต่อเนื่องมาโดยตลอด และสุดท้ายก็มีการออกหมายจับ แต่สาระสำคัญคือ 3 คดีไม่สามารถฟ้องได้ เพราะหมดอายุความ
- ข้อหาขับรถโดยประมาทจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ฟ้องไม่ได้ เพราะมีพยาน 2 ปากพลิกคดี - ตำรวจเปลี่ยนความเร็ว
ทนายความของ บอส อยู่วิทยา ได้มีการร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่าง ๆ นำไปสู่การทำสำนวนในข้อหาขับรถโดยประมาทจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งข้อมูลในสำนวนนั้นพบว่า ที่เกิดเหตุเป็นถนน 3 เลน นายวรยุทธ ขับอยู่เลนขวา โดย นายจารุชาติ ให้การหลังเกิดเหตุ 3 วัน ว่าขับรถกระบะอยู่เลนกลาง โดย ด.ต. วิเชียร ขี่เปลี่ยนเลนซ้ายสุดมาที่เลนกลาง จึงเบรกและเปลี่ยนเลนไปซ้ายสุด ก่อนจะได้ยินเสียงการเกิดอุบัติเหตุ โดยนายจารุชาติขับอยู่ที่ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลายเป็นว่านี่คือพยานปากสำคัญที่ทำให้คดีนี้พลิกในที่สุด
นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำคดีนี้ พิจารณาสั่งไม่สั่งฟ้องข้อหาขับรถประมาทจนถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุดทุกประการ โดยพิจารณาตามแนวทางการสอบสวนของตำรวจ จากนั้นจึงได้มีการนำเรื่องส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก็ไม่ได้มีการเห็นแย้ง คดีจึงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
กรณี นายเนตร นาคสุข ไม่สั่งฟ้องนั้น พบว่า นายเนตรมีหน้าที่รับผิดชอบในงานร้องขอความเป็นธรรม คดีนี้นายวรยุทธร้องขอความเป็นธรรมตามกรอบระเบียบ ดังนั้น คำสั่งไม่ฟ้องของนายเนตร จึงเป็นไปตามกรอบที่ทำได้
- กรณีขับรถเร็ว อาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ ได้รับเชิญร่วมพิสูจน์ อาจรื้อคดีใหม่ได้
การสั่งไม่ฟ้องแล้วตำรวจไม่แย้ง คำสั่งย่อมเด็ดขาด แต่คดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่งหลังตกเป็นข่าวออกไป ได้มีการให้ข้อเท็จจริงของพยาน นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาของตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เผยว่า ขณะเกิดเหตุได้มีการประสานงานให้ลงที่เกิดเหตุและตรวจภาพจากกล้องวงจรปิด จนได้มีการรายงานว่า ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ข้อมูลนี้ยังไม่อยู่ในสำนวน จึงมีความเห็นให้ตำรวจสอบสวนกรณีนี้เพิ่มเติม
- พร้อมฟ้อง บอส ในคดีใหม่ เรื่องโคเคน
ส่วนสารแปลกปลอมอื่นที่พบคือ โคเคน ในตอนที่ไม่ได้ดำเนินคดี ทางแพทย์ได้ให้ข้อมูลว่า สารที่พบไม่ใช่โคเคน เป็นสารที่พบได้ในยาเสพติดโคเคนจริง แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงไม่ได้มีการดำเนินคดีตั้งแต่แรก