ทำความรู้จัก แอมโมเนียมไนเตรต สารอันตราย ในทางหนึ่งนั้นคือปุ๋ยเคมี แต่มักถูกนำไปใช้เป็นระเบิด ต้องเก็บรักษาให้ห่างเชื้อเพลิง ต้นตออุบัติเหตุสลดที่เบรุต เลบานอน

ภาพจาก ERIC CABANIS / AFP
จากเหตุ ระเบิดเลบานอน บริเวณท่าเรือในเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน วันที่ 4 สิงหาคม 2563 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 78 คน และบาดเจ็บกว่า 4,000 คน ซึ่งพบว่าต้นตอของความรุนแรงนั้นมาจากระเบิดของสารแอมโมเนียมไนเตรต ขนาดกว่า 2,750 ตัน

ภาพจาก Ihor Matsiievskyi / shutterstock.com
สำหรับ สารแอมโมเนียมไนเตรต (Ammonium nitrate) ลักษณะเป็นผงสีขาวเหมือนน้ำตาลทราย มีสูตรทางเคมีว่า NH4NO3 มีไนโตรเจนร้อยละ 34 คุณสมบัติคือ ละลายน้ำได้ดีมาก ดูดความชื้นง่ายมาก ด้วยความที่มีธาตุไนโตรเจน ซึ่งเป็นหนึ่งในธาตุอาหารหลักของพืช สารนี้จึงนำมาใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืชเป็นส่วนใหญ่
อีกมุมหนึ่งของ แอมโมเนียมไนเตรต
แอมโมเนียมไนเตรต และกลุ่มไนเตรตทั้งหลาย นอกจากจะเป็นปุ๋ยหัวเชื้อราคาถูกแล้ว อีกมุมหนึ่งก็มีลักษณะเป็นกลุ่มวัตถุระเบิด ใช้ทำระเบิดแรงดันสูง นิยมใช้มากในการก่อการร้ายทั่วโลก และเป็นส่วนประกอบในการใช้ทำระเบิดแสวงเครื่อง

ภาพจาก Marwan TAHTAH / AFP
การนำปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรต มาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำระเบิดมีมานานแล้ว ด้วยการนำไปผสมกับเชื้อเพลิง นิยมใช้มากในเหมืองถ่านหิน เหมืองหิน เหมืองแร่โลหะ สำหรับการนำแอมโมเนียมไนเตรตไปใช้ทำระเบิดเพื่อก่อการร้าย เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2513 ที่ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้ก่อการร้ายในแถบตะวันออกกลาง เช่น อัฟกานิสถาน ก็ยังนิยมทำและใช้อยู่ และเนื่องด้วยระเบิดแบบนี้ใช้ปุ๋ยเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ระเบิดปุ๋ย (Fertilizer Bomb)
องค์ประกอบระเบิด
การระเบิดของแอมโมเนียมไนเตรต ต้องอาศัย 2 ปัจจัย คือ เชื้อเพลิง และออกซิเจน หรือสารออกซิไดเซอร์ (Oxidizer) ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งก๊าซออกซิเจน ด้วยเหตุผลนี้ การเก็บรักษาแอมโมเนียมไนเตรต จึงต้องดูแลเข้มงวด เช่น เก็บให้ห่างจากเชื้อเพลิงและแหล่งความร้อน
![ระเบิดเลบานอน ระเบิดเลบานอน]()
กลไกการระเบิด
การระเบิดเริ่มต้นจากการระเบิดของเชื้อปะทุ และปลดปล่อยคลื่นระเบิด (Detonation Wave) ซึ่งมีความเร็วประมาณ 3.2-4.8 กิโลเมตรต่อวินาที ออกมา ส่งผลให้สารแอมโมเนียมไนเตรตในเม็ดปุ๋ยระเหิด (เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นก๊าซ) และจุดเชื้อเพลิงให้ลุกไหม้ พลังงานจากคลื่นระเบิดที่ทะลุผ่านสารแอมโมเนียมไนเตรต ทำให้โมเลกุลสลายตัว อะตอมออกซิเจนถูกปลดปล่อยออกมา และรวมตัวเป็นก๊าซออกซิเจน เร่งปฏิกิริยาหรือกระบวนการเผาไหม้ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ผลิตผลต่อเนื่องเป็นก๊าซร้อนต่าง ๆ
ก๊าซร้อนที่เกิดในเวลาสั้นเหล่านี้ทำให้เกิดคลื่นความดัน (Pressure Wave) ซึ่งเคลื่อนที่เร็วเท่าอัตราเร็วเสียง (330 เมตร หรือ 1,100 ฟุตต่อวินาที) คลื่นนี้อาจทำอันตรายต่อชีวิต วัตถุ สิ่งของต่าง ๆ โดยรอบ นอกจากนี้ความร้อนสูงซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ ยังทำให้วัตถุโดยรอบไหม้ไฟได้ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดระบุว่า อำนาจการทำลายส่วนใหญ่มาจากคลื่นความดัน
การระเบิดของแอมโมเนียมไนเตรต ต้องอาศัย 2 ปัจจัย คือ เชื้อเพลิง และออกซิเจน หรือสารออกซิไดเซอร์ (Oxidizer) ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งก๊าซออกซิเจน ด้วยเหตุผลนี้ การเก็บรักษาแอมโมเนียมไนเตรต จึงต้องดูแลเข้มงวด เช่น เก็บให้ห่างจากเชื้อเพลิงและแหล่งความร้อน

ภาพจาก STR / AFP
การระเบิดเริ่มต้นจากการระเบิดของเชื้อปะทุ และปลดปล่อยคลื่นระเบิด (Detonation Wave) ซึ่งมีความเร็วประมาณ 3.2-4.8 กิโลเมตรต่อวินาที ออกมา ส่งผลให้สารแอมโมเนียมไนเตรตในเม็ดปุ๋ยระเหิด (เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นก๊าซ) และจุดเชื้อเพลิงให้ลุกไหม้ พลังงานจากคลื่นระเบิดที่ทะลุผ่านสารแอมโมเนียมไนเตรต ทำให้โมเลกุลสลายตัว อะตอมออกซิเจนถูกปลดปล่อยออกมา และรวมตัวเป็นก๊าซออกซิเจน เร่งปฏิกิริยาหรือกระบวนการเผาไหม้ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ผลิตผลต่อเนื่องเป็นก๊าซร้อนต่าง ๆ
ก๊าซร้อนที่เกิดในเวลาสั้นเหล่านี้ทำให้เกิดคลื่นความดัน (Pressure Wave) ซึ่งเคลื่อนที่เร็วเท่าอัตราเร็วเสียง (330 เมตร หรือ 1,100 ฟุตต่อวินาที) คลื่นนี้อาจทำอันตรายต่อชีวิต วัตถุ สิ่งของต่าง ๆ โดยรอบ นอกจากนี้ความร้อนสูงซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ ยังทำให้วัตถุโดยรอบไหม้ไฟได้ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดระบุว่า อำนาจการทำลายส่วนใหญ่มาจากคลื่นความดัน

ภาพจาก STR / AFP
จากผลข้างเคียงที่อันตรายและอาจนำไปสู่การนำไปใช้ผิดประเภท ปัจจุบัน สารแอมโมเนียมไนเตรต ในประเทศไทย ถูกควบคุมโดยกระทรวงกลาโหม และกรมวิชาการเกษตร ไม่รับขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมี ยกเว้นปุ๋ยเชิงประกอบและปุ๋ยเชิงผสมที่มีแอมโมเนียมไนเตรตเป็นวัตถุอันเป็นส่วนประกอบของปุ๋ยเคมีอยู่ด้วย

ภาพจาก กรมศุลกากร
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ






