พาณิชย์แจง สหรัฐฯ ตัด GSP ไทย 30 ธันวาคม 2563 มีสินค้ากระทบจริง 147 รายการ ยันยังส่งออกได้ มั่นใจผู้นำเข้ายังซื้อแม้ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น
ภาพจาก สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
จากกรณีสหรัฐฯ พิจารณาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สินค้าไทย รวม 231 รายการ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไปนั้น
อ่านข่าว : ทรัมป์ สั่งยกเลิก GSP ไทยเพิ่ม กระทบ 2.5 หมื่นล้านบาท เริ่ม 30 ธ.ค. นี้
วันที่ 31 ตุลาคม 2563 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่า การตัดสิทธิ์ดังกล่าวมีจำนวน 231 รายการ เป็นสินค้าที่มีการใช้สิทธิ์จริงในปี 2562 จำนวน 147 รายการ มูลค่าการนำเข้าประมาณ 604 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) คิดเป็นภาษีที่ต้องกลับไปเสียในอัตราปกติมูลค่าประมาณ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 600 ล้านบาท)
การถูกตัดสิทธิ์จีเอสพีครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าสินค้าไทยจะถูกห้ามส่งออกไปสหรัฐฯ ไทยยังส่งออกไปได้ปกติ แต่ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ หากสินค้าไทยมีการเน้นคุณภาพ มาตรฐาน สร้างการยอมรับ เชื่อว่าแม้ภาษีจะสูงขึ้นแต่คงไม่มีผลต่อการส่งออก และผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะยังต้องการสินค้าไทยเหมือนเดิม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ พวงมาลัยรถยนต์ ล้อรถยนต์ กระปุกเกียร์ กรอบโครงสร้างแว่นตาทำด้วยพลาสติก เคมีภัณฑ์ เกลือฟลูออรีน ที่นอนและฟูกทำด้วยยางหรือพลาสติก หลอดและท่อทำด้วยยางวัลคาไนซ์ อะลูมิเนียมเจือแผ่นบาง เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมพร้อมมาตรการรองรับผลกระทบแล้ว เช่น กิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างหลากหลาย อาทิ Online Business Matching สำหรับสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสหรัฐฯ และตลาดใหม่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในงานแสดงสินค้าในสหรัฐฯ และตลาดใหม่ การส่งเสริมสินค้าไทยเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยใช้ช่องทาง Cross border e-commerce เข้าสู่ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ และตลาดใหม่โดยตรง ซึ่งกระทรวงได้หารือและทำความเข้าใจกับภาคเอกชนตลอดมา เพื่อเตรียมการรองรับและเน้นในเรื่องกลยุทธ์การตลาดที่ให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมาตรฐานสินค้ามากกว่าการแข่งขันด้านราคา
ผู้ประกอบการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงแจ้งเรื่องผลกระทบที่ได้รับผ่านทางไลน์แอปพลิเคชัน ชื่อบัญชี "GSPhelper" หรือสายด่วน 1385 รวมถึงเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, กรุงเทพธุรกิจ