ป.ป.ส. เผยผลตรวจของกลาง 493 กระสอบ ที่ยึดได้จากโกดังฉะเชิงเทรา พบ เคตามีนเพียง 1.2 กรัม ที่เหลือเป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต-ไตรโซเดียมฟอสเฟต เชื่อคนร้ายสับเปลี่ยน ส่งไต้หวัน
จากกรณีที่มีการจับยาเคล็อตใหญ่ จำนวน 11.5 ตัน มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ที่โกดังแห่งหนึ่งใน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา หลังจากได้รับข้อมูลจากต่างประเทศว่าจะมีการลำเลียงมา จึงสืบข้อมูลจนทราบและยึดได้ เบื้องต้นตรวจสอบพบว่า คนที่เช่าโกดังเก็บยาเค เป็นชนเผ่าที่ได้รับสัญชาติไทย มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชายแดนภาคเหนือ คาดว่ายังคงอยู่ในประเทศ
ล่าสุด วันที่ 15 ธันวาคม 2563 One31 รายงานว่า นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมด้วยกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ส. แถลงสรุปผลการตรวจพิสูจน์วัตถุของกลางในคดีที่มีการจับยึดวัตถุของกลางบรรจุกระสอบ จำนวน 493 กระสอบ น้ำหนักรวม 12,449 กิโลกรัม ในบริเวณโกดังเก็บของ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
นายวิชัย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่จาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ ป.ป.ส., กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกันสอบพิสูจน์ร่วมวัตถุของกลางจากโกดัง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา แบ่งเป็น 4 จุด คือ
จุดที่ 1 มี 66 กระสอบ 1,664 กิโลกรัม ผลสรุปตรวจพิสูจน์ทั้งหมดเป็น สารไตรโซเดียมฟอสเฟต
จุดที่ 2 มี 200 กระสอบ 5,109 กิโลกรัม ผลสรุปตรวจพิสูจน์ทั้งหมดเป็น สารไตรโซเดียมฟอสเฟต
จุดที่ 3 มี 200 กระสอบ 5,020 กิโลกรัม ผลสรุปตรวจพิสูจน์ทั้งหมดเป็น สารไตรโซเดียมฟอสเฟต
จุดที่ 4 มี 27 กระสอบ 656 กิโลกรัม ในจุดนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกมีทั้งหมด 15 กระสอบ น้ำหนักรวม 355 กิโลกรัม ผลสรุปตรวจพิสูจน์ทั้งหมดเป็น สารไตรโซเดียมฟอสเฟต
ส่วนที่ 2 มีทั้งหมด 12 กระสอบ น้ำหนักรวม 301 กิโลกรัม ผลตรวจพบทั้งหมดเป็น สารแคลเซียมคาร์บอเนต โดยในจำนวนนี้มีการปนเปื้อนของสารเคตามีน รวมทั้งหมด 1.2 กรัม
ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่ารูปแบบทางกายภาพของสารทั้ง 2 ชนิด และเคตามีน มีลักษณะใกล้เคียงกัน ผู้ค้าจึงเลือกใช้วิธีการอำพรางในลักษณะเช่นนี้มาใช้ จากการข่าวที่ทางการไต้หวันแจ้งมายัง ป.ป.ส. พบสารเคตามีน 300 กิโลกรัม ปะปนมากับสารเคมีทั้ง 2 ชนิด ซึ่งลักษณะที่พบในไทย จากข้อมูลที่มีเชื่อว่าผู้ค้าได้สลับสับเปลี่ยนถุงที่ใส่เคตามีน มาใส่ในถุงแคลเซียมคาร์บอเนต และนำหนีออกไป ก่อนส่งถุงที่ ป.ป.ส. พบสารปนเปื้อนกลับมา
จากการตรวจสอบสารทั้ง 2 ตัว ไม่ถือว่าเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตสารเสพติด เนื่องจากยังไม่เคยตรวจเจอการประมวลผลของสารทั้ง 2 ชนิดในยาเสพติดชนิดอื่น และสารทั้ง 2 ชนิดไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดเช่นเดียวกัน
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวยอมรับว่า ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบสารทั้ง 2 ชนิด เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ของ ป.ป.ส. จะทำการตรวจสอบเฉพาะสารเสพติดเท่านั้น โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้หาความรู้เพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก รวมทั้งจะได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มงวดกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบการนำเข้าสารทั้ง 2 ชนิด เพราะอาจจะมีการปนเปื้อนหรือลักลอบ หรือซุกซ่อนสารเสพติดเข้ามาปะปนได้
ส่วนในมิติของการดำเนินคดี หากพบสารเคตามีน มากกว่า 0.5 กรัม จะถือว่ามีไว้ครอบครองเพื่อการจำหน่าย ซึ่งทาง ป.ป.ส. จะได้ส่งผลการตรวจให้ทางตำรวจดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัย ในข้อหามีเคตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และอีกส่วนเป็นคดีที่ทางไต้หวันได้จับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดเคตามีนที่ส่งจากประเทศไทย ถือว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งทาง ป.ป.ส. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน บช.ปส. ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ทำเรื่องเสนออัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาดำเนินคดีอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก One31









