เกิดเหตุแผ่นดินไหวเฮติ รุนแรง 7.2 แมกนิจูด มีผู้เสียชีวิตแล้ว 304 ราย บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 1,800 ราย ประกาศภาวะฉุกเฉินนาน 1 เดือน

ภาพจาก Tamas JEAN PIERRE / AFP
วันที่ 15 สิงหาคม 2564 สำนักข่าวเอพี และรอยเตอร์ส รายงานว่า เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.2 แมกนิจูด ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเฮติ เวลาประมาณ 08.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 304 ราย ได้รับบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 1,800 ราย อาคารบ้านเรือนพังถล่มกลายเป็นซากปรักหักพัง
ตามรายงานของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ เผยว่า ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองหลวงปอร์โตแปรงซ์ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 125 กิโลเมตร และอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน 10 กิโลเมตร ตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกต่อเนื่อง สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

ภาพจาก Tamas JEAN PIERRE / AFP
ปฏิบัติการกู้ภัยเบื้องต้นโดยทีมเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินรวมทั้งอาสาสมัครประชาชน เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ใต้เศษซากตึก นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล พร้อมทั้งช่วยออกตามหาผู้ที่สูญหายจำนวนมาก ที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ในขณะนี้
รายงานความเสียหายเบื้องต้น มีบ้านเรือนอย่างน้อย 949 หลัง โบสถ์ 7 แห่ง โรงแรม 2 แห่ง และโรงเรียน 3 แห่ง ถูกทำลายลง ขณะที่ทางด้านนายกรัฐมนตรีเอเรียล เฮนรี ได้บินไปยังภูมิภาคดังกล่าว เพื่อสำรวจความเสียหาย พร้อมทั้งประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลานาน 1 เดือน
"สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยผู้รอดชีวิตจากใต้ซากปรักหักพังให้ได้มากที่สุด เราได้ทราบว่าโรงพยาบาลในท้องที่ เต็มไปด้วยผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บและกระดูกหัก เราต้องดูแลผู้บาดเจ็บ แต่ยังต้องจัดหาอาหาร ความช่วยเหลือ ที่พักชั่วคราว และการสนับสนุนด้านจิตใจ" เฮนรี กล่าว

ภาพจาก Tamas JEAN PIERRE / AFP
ขณะที่ทางด้าน ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติการช่วยเหลือในทันที โดยแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประสานงาน พร้อมช่วยประเมินความเสียหายและช่วยในการสร้างใหม่ โดยไบเดนกระบุว่า "สหรัฐฯ เป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดและยั่งยืนของชาวเฮติ" ด้านประเทศต่าง ๆ ทยอยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม รวมทั้งอาร์เจนตินาและชิลี โดยเซบาสเตียน ปิเญรา ประธานาธิบดีชิลี กล่าวว่า "อีกครั้งที่เฮติต้องพบกับความทุกข์ยาก"
สำหรับเฮติ จัดเป็นประเทศยากจน มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวและพายุเฮอริเคน เมื่อปี 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.1 ทำให้เมืองหลวงเสียหายมหาศาล และคร่าชีวิตผู้คนไปมากถึงประมาณ 300,000 คน
ขอบคุณข้อมูลจาก apnews, reuters