ชูวิทย์ ไขปมคดีผู้กำกับโจ้ เรื่องนี้เป็นบทเรียนสอนตำรวจคนอื่นได้อย่างดี แต่ไม่ใช่เรื่องห้ามเอาถุงดำคลุมผู้ต้องหา แต่เป็นเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ให้ลงตัว ถ้าหากทุกคนแฮปปี้ ไม่มีใครอยากทุบหม้อข้าว
วันที่ 27 สิงหาคม 2564 เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งถือเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างคร่ำหวอดในวงการตำรวจไทย มีการโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจับกุม พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ รวมถึงที่มาที่ไปของคดีนี้ว่าเป็นยังไง ดังนี้
หลังจากที่ผู้กำกับโจ้ถูกจับ ก็หมดสภาพตำรวจมือปราบ จากที่เคยจับโจรใส่กุญแจมือ แล้วแถลงข่าว ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีหนักเสียเอง โดยในตอนแรกข่าวว่ารีดทรัพย์เพิ่มจาก 1 ล้านเป็น 2 ล้าน ที่ผู้ต้องหาค้ายายอมรับจ่ายค่าตั๋วรอดคุก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบอกว่า รีดข้อมูลยาเพื่อประชาชนไปซะแล้ว ส่วนเมียผู้ต้องหา ทำไมถึงรอดไปได้ ทั้งที่ถูกจับพร้อมกัน
สำหรับเรื่องนี้ที่มันแดงขึ้นมาได้ จากประสบการณ์บ่งบอกว่า ผู้กำกับโจ้จัดสรรผลประโยชน์ในโรงพักไม่ลงตัว เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับคนเป็นผู้นำหน่วย อย่างไรก็ต้องแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์ให้ลงตัวให้ได้โดยที่ไม่ขาดตกบกพร่อง หรืออย่างน้อยที่เคยได้มา ต้องไม่ลดลง
การที่มาอ้างว่าตัวเองใหญ่ มีผู้ใหญ่ที่แบ็กหนาส่งมาเปลี่ยนระบบ มีการรื้อการจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ทำให้บางคนได้รับลดลง จากที่เคยได้ตอนนี้ไม่ได้แล้ว มันกลับไปอยู่ในกระเป๋าผู้กำกับเพียงคนเดียว ยิ่งทำให้คนไม่พอใจ และเมื่อผู้กำกับโจ้พลาด จึงทำให้ถูกลงดาบแบบนี้
ถ้าหากทุกคนแฮปปี้ ยังไงก็ไม่มีการออกมาแฉแน่นอน เพราะไม่มีใครอยากทุบหม้อข้าวตัวเองอยู่แล้ว และการที่ผู้กำกับโจ้ เอ่ยวลีอโหสิกรรมให้คนปล่อยคลิป แสดงให้เห็นว่า ผู้กำกับโจ้เขาทนไม่ไหวแล้ว
สำหรับเรื่องที่ตำรวจชั้นผู้น้อยออกมาแฉเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการทนเห็นไม่ได้ หรือกลัวถูกฆ่า ไม่ได้เป็นเรื่องของคุณธรรม แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ เมื่อจัดสรรไม่ลงตัวก็ต้องบรรลัยไปข้าง ซึ่งตำรวจชั้นผู้ใหญ่ย่อมรู้ดี ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น นับเป็นประสบการณ์ให้ตำรวจทุกคนเห็นว่า "อย่าทำอย่างโจ้" ไม่ใช่เรื่องการเอาถุงคลุมหัวรีดผู้ต้องหานะ แต่เป็นเรื่องการอยู่ให้เป็น เย็นให้พอ เกลี่ยรายได้ให้ลงตัวให้ได้
หากอยู่ในโรงพักทำเลทองแบบ สภ.เมืองนครสวรรค์ ไม่เป็น ตอนจบก็จะเป็นอย่างโจ้แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
วันที่ 27 สิงหาคม 2564 เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งถือเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างคร่ำหวอดในวงการตำรวจไทย มีการโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจับกุม พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ รวมถึงที่มาที่ไปของคดีนี้ว่าเป็นยังไง ดังนี้
ชูวิทย์ แฉ ผลประโยชน์ในโรงพักไม่ลงรอย จากที่ทุกคนเคยได้ ตอนนี้ได้แต่ผู้กำกับ ลูกน้องคนไหนจะรับได้
หลังจากที่ผู้กำกับโจ้ถูกจับ ก็หมดสภาพตำรวจมือปราบ จากที่เคยจับโจรใส่กุญแจมือ แล้วแถลงข่าว ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีหนักเสียเอง โดยในตอนแรกข่าวว่ารีดทรัพย์เพิ่มจาก 1 ล้านเป็น 2 ล้าน ที่ผู้ต้องหาค้ายายอมรับจ่ายค่าตั๋วรอดคุก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบอกว่า รีดข้อมูลยาเพื่อประชาชนไปซะแล้ว ส่วนเมียผู้ต้องหา ทำไมถึงรอดไปได้ ทั้งที่ถูกจับพร้อมกัน
สำหรับเรื่องนี้ที่มันแดงขึ้นมาได้ จากประสบการณ์บ่งบอกว่า ผู้กำกับโจ้จัดสรรผลประโยชน์ในโรงพักไม่ลงตัว เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับคนเป็นผู้นำหน่วย อย่างไรก็ต้องแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์ให้ลงตัวให้ได้โดยที่ไม่ขาดตกบกพร่อง หรืออย่างน้อยที่เคยได้มา ต้องไม่ลดลง
การที่มาอ้างว่าตัวเองใหญ่ มีผู้ใหญ่ที่แบ็กหนาส่งมาเปลี่ยนระบบ มีการรื้อการจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ทำให้บางคนได้รับลดลง จากที่เคยได้ตอนนี้ไม่ได้แล้ว มันกลับไปอยู่ในกระเป๋าผู้กำกับเพียงคนเดียว ยิ่งทำให้คนไม่พอใจ และเมื่อผู้กำกับโจ้พลาด จึงทำให้ถูกลงดาบแบบนี้
ถ้าหากทุกคนแฮปปี้ ยังไงก็ไม่มีการออกมาแฉแน่นอน เพราะไม่มีใครอยากทุบหม้อข้าวตัวเองอยู่แล้ว และการที่ผู้กำกับโจ้ เอ่ยวลีอโหสิกรรมให้คนปล่อยคลิป แสดงให้เห็นว่า ผู้กำกับโจ้เขาทนไม่ไหวแล้ว
สาเหตุที่ลูกน้องแฉ ไม่ได้เป็นเรื่องของคุณธรรมตามที่กล่าวอ้าง
สำหรับเรื่องที่ตำรวจชั้นผู้น้อยออกมาแฉเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการทนเห็นไม่ได้ หรือกลัวถูกฆ่า ไม่ได้เป็นเรื่องของคุณธรรม แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ เมื่อจัดสรรไม่ลงตัวก็ต้องบรรลัยไปข้าง ซึ่งตำรวจชั้นผู้ใหญ่ย่อมรู้ดี ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น นับเป็นประสบการณ์ให้ตำรวจทุกคนเห็นว่า "อย่าทำอย่างโจ้" ไม่ใช่เรื่องการเอาถุงคลุมหัวรีดผู้ต้องหานะ แต่เป็นเรื่องการอยู่ให้เป็น เย็นให้พอ เกลี่ยรายได้ให้ลงตัวให้ได้
หากอยู่ในโรงพักทำเลทองแบบ สภ.เมืองนครสวรรค์ ไม่เป็น ตอนจบก็จะเป็นอย่างโจ้แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์










