พระมหาไพรวัลย์ เผยหลังถูกตำหนิไม่สำรวมทำศาสนาเสื่อม
ยกเคสคนไม่มีศาสนากลับมาเข้าวัด
ย้ำอย่ายอมให้อาตมาเป็นความทุกข์หรือความขัดข้องใจในการนับถือศาสนาของใครเลย
สร้างปรากฎการณ์ใหม่ทางพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ สำหรับ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ
ที่ได้ชวนพระมหาสมปอง มาร่วมไลฟ์ด้วยกัน จนยอดคนดูพุ่งไปถึง 2 แสนกว่าคน
แต่อย่างไรก็ตามกลับมีเสียงตำหนิเรื่องความไม่สำรวม
การหัวเราะของพระมหาไพรวัลย์ ว่าทำให้ศาสนาเสื่อม
โดยวันที่ 4 กันยายน 2564 พระมหาไพรวัลย์ ได้เผยว่า ไม่สำรวมแบบนี้ใครจะศรัทธา หัวเราะ = ศาสนาเสื่อม อาตมาคิดว่า แน่นอนทีเดียวในการที่อาตมาเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว จะต้องมีชาวพุทธบางกลุ่มมองว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำให้ศาสนาเสื่อม หรือทำให้คนหมดศรัทธา ไม่ว่าชาวพุทธกลุ่มนั้น จะมองแบบไหน อาตมาขอยอมรับและไม่ขอปฎิเสธเลย
โดยวันที่ 4 กันยายน 2564 พระมหาไพรวัลย์ ได้เผยว่า ไม่สำรวมแบบนี้ใครจะศรัทธา หัวเราะ = ศาสนาเสื่อม อาตมาคิดว่า แน่นอนทีเดียวในการที่อาตมาเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว จะต้องมีชาวพุทธบางกลุ่มมองว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำให้ศาสนาเสื่อม หรือทำให้คนหมดศรัทธา ไม่ว่าชาวพุทธกลุ่มนั้น จะมองแบบไหน อาตมาขอยอมรับและไม่ขอปฎิเสธเลย
อาตมาปลื้มใจมากนะ วันนี้มีโยมคณะหนึ่งมาขอพบอาตมา อาตมาถามเขาว่า พวกโยมมาจากไหน พวกเขาตอบว่า มาจากบ้านค่ะ (สภาพพพพนะน้องนะ) ฟังแบบนี้ก็โล่งใจ อาตมาจึงเข้าไปสนทนาด้วย (คือถ้าบอกว่า มาจากโรงพัก ก็อาจจะคิดหนักหน่อย) ในคณะที่ว่านี้ มีโยมผู้หญิง 2 คน เป็น 2 แม่ลูก คนแม่ชื่อว่าโยมผึ้ง ส่วนคนลูกชื่อพิ้งกี้ ความพิเศษของสองแม่ลูกนี้ ก็คือว่า โยมผู้หญิงที่เป็นลูก ตอนนี้เธออายุ 22 ปี เมื่อตอนที่เธออายุ 18 คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โยมพิ้งกี้ ได้ตัดสินใจขออนุญาตแม่ของเธอเพื่อที่จะเลิกนับถือศาสนา และกลายเป็นคนที่ไม่มีศาสนา ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย
เธอบอกว่า เธอถามลูกว่า แล้วหนูจะนับถืออะไร ยึดเหนี่ยวอะไร ลูกของเธอก็ตอบว่า หนูขอนับถือตัวเองและมีแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวก็พอ ลูกของเธอสักคำว่าแม่ ไว้ที่หน้าอกด้วย โยมผึ้งกล่าวโยมผึ้งเล่าต่อไปว่า สิ่งที่เป็นเรื่องที่เธอรู้สึกตกใจและเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก คือตลอดระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ที่ลูกของเธอเลิกนับถือศาสนา ลูกของเธอแทบจะไม่เข้าวัดเลย ไม่เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ เลย ถ้าไปวัดด้วยกัน ลูกเธอมักจะขอรออยู่ด้านนอกตลอด
โยมผึ้งกล่าวว่า การที่ลูกของเธอเลิกนับถือศาสนา บางครั้งก็นำความลำบากใจมาให้กับเธอบ้าง บางครั้งเธออยากไปปฎิบัติธรรมที่วัดต่างจังหวัดตามคำแนะนำของเพื่อน แต่เมื่อลูกไม่ไปด้วย ก็ทำให้เธอเดินทางไปไม่ได้ ในความไม่เห็นตรงกันเรื่องศาสนานี้ ทำให้โยมผึ้งกับลูกสาวของเธอแทบจะไม่ค่อยคุยกันเลย
อาตมาสนทนากับโยมผึ้ง โยมผึ้งบอกว่า ที่ทั้งรู้สึกดีใจและตกใจ เพราะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ในทุก ๆ คืน เธอจะเห็นลูกของเธอฟังธรรมะตลอด (ธรรมะอะไรก่อน สภาพพ) และเมื่อวันนี้ที่เป็นวันเกิดเพื่อน เธอได้ลองชวนลูกของเธอมาทำบุญที่วัดด้วย ลูกเธอ ตอบตกลง โยมผึ้งบอกว่า แปลกใจมาก เพราะมาทำบุญวันนี้ ลูกเธอไม่เพียงไม่ปฎิเสธการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเมื่อครั้งก่อนๆ แต่ลูกเธอยังแสดงความมีส่วนร่วม ยังช่วยยกสังฆทาน ผ้าไตร และเป็นคนนำเธอเข้าไปหาพระด้วยซ้ำ "เขากรวดน้ำด้วยนะ" โยมผึ้งพูดแบบคนที่ทั้งรู้สึกดีใจและแปลกใจ
อาตมาไม่สามารถทำให้ใครรู้สึกพึงพอใจในรูปแบบการสอน การเทศน์ การพูด หรือแม้แต่การประพฤติตัวของอาตมาได้นะ แต่ในขณะเดียวกัน อาตมาก็มั่นใจว่า ทุกคนสามารถเลือกเสพในสิ่งที่เหมาะหรือถูกจริตของตนเองได้
ดังนั้น เชื่ออาตมาเถอะ อย่ายอมให้อาตมากลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์หรือความขัดข้องใจในการนับถือศาสนาของใครเลย อาตมาไม่เท่ากับศาสนา อาตมาไม่เท่ากับพระสงฆ์ทุกรูป สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ควรจะท่องจำให้ได้แบบท่านนายกกันบ้าง ดีใจนะ ที่ได้คุยกับโยมพิงกี้ ดีใจที่เราดูศาสดาขอพักร้อนเหมือนกัน คนไม่นับถือศาสนา ดูเข้าใจสาระของศาสนา มากกว่าคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นศาสนิกซะอีก เอาอะไรมาเสื่อม ถามก่อนนน สภาพพ


ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ






