โอม บอดี้สแลม แจงดราม่า #พี่ตูนวิ่งทําไม ชี้ผลลัพธ์ที่ผ่านมา ช่วยคนรอดตาย, เด็กได้เรียนจบ ขออย่าตัดสินด้วยอคติ ย้ำปัญหาโครงสร้างไม่ได้แก้ด้วยคนเดียว หรือ 1-2 วัน ยันการวิ่งรับบริจาคเป็นกระบอกเสียงในแบบของ ตูน บอดี้สแลม
ภาพจาก Instagram artiwara
เป็นประเด็นดราม่าทันที หลังตูน บอดี้สแลม ประกาศแคมเปญชวนวิ่งการกุศล ระดมทุนเพื่อเด็ก 109 คน ในชื่อโครงการ ก้าวเพื่อน้องเวอร์ชวลรัน "๑๐๙ คำขอบพระคุณ" จนแฮชแท็ก #พี่ตูนวิ่งทําไม พุ่งติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทันที ซึ่งความเห็นของคนมองว่า การวิ่งรับบริจาคของตูนนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะหน้าที่ในการดูแลเรื่องเหล่านี้ควรเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐบาล ไม่เช่นนั้นจะเก็บภาษีหรือมีรัฐบาลไว้เพื่ออะไรกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (22 ธันวาคม 2564) โอม เปล่งขำ มือคีย์บอร์ดวงบอดี้สแลม ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Ohm Plengkhum กล่าวถึงกระแสดราม่าดังกล่าว ที่ส่วนใหญ่เป็นการโจมตีมาที่ตูน บอดี้สแลม เพื่อนร่วมวงของเขา ซึ่งโอมยืนยันว่า การวิ่งของตูนนั้น เป็นกระบอกเสียงในแบบของตูน และก็เห็นผลชัดเจนจากการที่มีคนรอดตายเพราะเครื่องมือแพทย์ที่วิ่งรับบริจาคจริง ๆ และมีเด็กที่ได้เรียนจนจบ ม.6 จากเงินวิ่งรับบริจาคเช่นกัน
พร้อมฝากบอกคนที่ไม่เห็นด้วยว่า การที่จะไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบกัน ขอให้ตัดสินผ่านหลักการหรือเหตุผลและข้อมูลความเป็นจริง อย่าใช้อคติหรือเพียงเพราะใครไม่ทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากให้ทำ
ข้อความทั้งหมดมีรายละเอียดดังนี้…
"ในขณะที่สังคมมานั่งถกเถียงกันว่า มันเป็นหน้าที่ของรัฐ, การบริจาคไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร, ทำไมถึงไม่ออกมาเป็นกระบอกเสียง บลา ๆ ๆ ๆ
โน่นครับ มีคนกำลังจะตายเพราะขาดเครื่องมือแพทย์ที่มีไม่เพียงพอ มีเด็กมากมายที่อยากเรียนหนังสือต่อแต่ไม่มีทุนทรัพย์ การวิ่งที่ผ่านมาแก้ปัญหาได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่มันมีคนรอดตายจากเครื่องมือแพทย์ที่เขาหาให้ได้จริง ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจเป็นคนใกล้ชิดของคนที่ด่าเขาในขณะนี้
มีคนหายป่วยจากเครื่องมือแพทย์จากมูลนิธิ มีเด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือจนจบ ม.6 อีก 100 กว่าคน และเท่าที่ผ่านมาเขาก็ออกมาเป็นกระบอกเสียงส่งไปถึงทุกคนแล้ว "ในแบบของเขาเอง" โดยผ่านการวิ่งของตัวเอง ไม่งั้นทุกคนจะตระหนักได้หรือว่าการเรี่ยไรบริจาคมันไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบยั่งยืน
ทั้งนี้ ที่จะไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบ ผมว่าไม่ใช่ปัญหาเลยถ้าทุกคนตัดสินมันจากหลักการและเหตุผลและข้อมูล "ความเป็นจริง" ที่วินิจฉัยแล้วอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่การเอาอคติและอัตตาเป็นที่ตั้ง หรือเพียงเพราะเขาไม่ทำในสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากให้ทำ ปัญหาที่เห็นคือปัญหาโครงสร้างเชิงนโยบายที่มัน "ไม่สามารถแก้ได้โดยคนคนเดียว" และไม่สามารถแก้ได้ด้วยเวลาวันสองวันครับ
วันหนึ่ง เราอาจจะได้ใช้เครื่องมือแพทย์ที่มูลนิธิหามาให้อันเกิดจากเงินที่พวกเราร่วมใจกันบริจาค วันหนึ่งเราอาจจะได้แพทย์, ทนายความมือดี, ตำรวจ ฯลฯ จากทุนการศึกษาที่มูลนิธิมอบให้ก็ได้นะครับ
ก่อนที่โอมจะทิ้งท้ายว่า "นานาจิตตัง ไม่มีผิดไม่มีถูกครับ ใครไม่อิน ไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีปัญหาครับ เรารู้แค่ว่าเราทำอะไรอยู่และเจตนาเราเป็นอย่างไรก็พอครับ และก้มหน้าก้มตา "ทำ" ครับ #domoretalkless"
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Ohm Plengkhum
