ครม. เห็นชอบ ขยายวันลาคลอดข้าราชการหญิง จาก 90 วัน เป็น 98 วัน ไฟเขียวลากิจอีก 90 วัน โดยได้เงินเดือนร้อยละ 50 พร้อมให้ ข้าราชการชาย ลาดูแลภรรยาคลอด รวม 15 วัน
วันที่ 12 มกราคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการร่างมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ เพื่อเป็นมาตรการคุ้มครอง สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางด้านเศรษฐกิจ ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชายในการเลี้ยงดูบุตร และสร้างกลไกการพัฒนาเด็กเพื่อลดภาระให้กับผู้หญิงที่ทำงาน ประกอบด้วย 3 มาตรการย่อย ได้แก่
1. จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยขยายบริการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้รับอายุ 0 - 3 ปี และขยายเวลาเปิด – ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนทำงานตามบริบทของพื้นที่
2. ส่งเสริมการลาของสามี (ข้าราชการชาย) เพื่อช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด โดยให้ข้าราชการชายมีสิทธิลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วง ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา
3. ขยายวันลาคลอดของแม่ (ข้าราชการหญิง) โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งระเบียบเดิมข้าราชการหญิงสามารถลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 90 วัน หากประสงค์ลากิจส่วนตัว เพื่อเลี้ยงดูบุตร ให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำการโดยไม่ได้รับเงินเดือน ซึ่งมาตรการใหม่นี้ สามารถลาคลอดบุตรได้ 98 วัน โดยได้รับค่าจ้าง และเมื่อครบแล้ว สามารถลาเพิ่มได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนร้อยละ 50 ของเงินเดือน รวมวันลาคลอดทั้งสิ้น 188 วัน หรือประมาณ 6 เดือน
ประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้ คือ
- ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงด้านการจ้างงาน ทำให้เกิดนโยบายที่มีลักษณะเป็นมิตรกับผู้หญิง สร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศ
- ส่งเสริมให้สามีมีส่วนร่วมในการดูแลบุตร
- ปรับเปลี่ยนจำนวนวันลาคลอดของข้าราชการให้เท่ากับภาคเอกชน
- สนับสนุนนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก ที่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน
ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม. เห็นชอบในหลักการเบื้องต้นของมาตรการและให้ พม. รับข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหาข้อสรุปที่ชัดเจน ก่อนเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและหน่วยงานกลางบริหารทรัพยากรบุคลในส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการปรับแก้ระเบียบต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, TNN