ทัวร์ลง ! หนุ่มโพสต์ปกป้องทีมงานคิวเท ลั่น นายจ้างควรแฟร์กับแรงงาน ถ้าไม่มีคนทำงานให้แล้วจะมีงานออกมาเหรอ ยกเรื่องประเทศที่เจริญแล้วเกิดขึ้นได้เพราะชนชั้นแรงงาน
จากดราม่าในวงการยูทูบเบอร์ที่คิวเท ซิม หรือ คิวเท โอ็ปป้า ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีใต้หัวใจไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาถูกลูกน้อง 4 คนหักหลัง ทั้งเลขาที่เปิดเผยข้อมูลบริษัท ขอวันพักผ่อนเพิ่ม, คนตัดต่อที่ออกไปทำช่องตัวเองแล้วทำงานหลักล่าช้า, คนตัดต่ออีกคนที่จบ ม.6 ทำงานไม่เป็น คิวเทต้องสอนงานให้ ได้เงินเดือน 3 หมื่น แต่มาขอเงินเดือนเพิ่ม และสุดท้ายคือทีมงานที่แอบขโมยของคิวเทมาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเรื่องนี้หลายคนก็แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
อ่านข่าว : สรุปดราม่า คิวเท โดนลูกน้อง 4 คนรุมสับ ขอเงินเดือนเพิ่ม เพราะให้แค่ 30,000 แฟร์หรือไม่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 15 มีนาคม 2565 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งออกมาโพสต์ข้อความวิจารณ์เรื่องดังกล่าวโดยมองว่าทำงานด้วยกัน เงินเดือนก็ต้องแฟร์ ๆ ถ้าไม่มีคนทำงานให้ แล้วคิวเทจะมีงานออกมาหรือเปล่า ช่องมีคนติดตามเกือบสิบล้าน แต่เงินเดือนพนักงานแค่ 3 หมื่นบาท แน่นอนว่า ถ้าลูกน้องเห็นรายรับที่นายจ้างได้ และเงินเดือนที่นายจ้างจ่ายลูกน้องและชั่วโมงการทำงาน สิ่งที่อยู่ในใจก็ต้องระเบิดออกมาเป็นธรรมดา
หนุ่มคนนี้มองอีกว่า นายจ้างก็ต้องรู้ตัวแล้วไหมว่าทำอะไรให้ลูกน้องไม่พอใจ แล้วก็ต้องมาคุย มาปรับโครงสร้างเงินเดือน และมองว่าจบอะไรมาก็ได้ แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ก็โอเคแล้วหรือเปล่า สังคมไทย ค่าของงานไม่ได้อยู่ที่ตัวงานจริง ๆ แต่อยู่ที่วุฒิการศึกษา การที่พูดเรื่องเลี้ยงข้าวนั้น เอาเงินค่าเลี้ยงข้าวไปเป็นเงินเดือนให้ก็ได้ แต่ไม่ทำ เพราะทำแบบนี้แล้วดูมีบุญคุณ แถมไม่ต้องเพิ่มเงินเดือน เป็นวัฒนธรรมทุนนิยม
อีกอย่างคือ มีบริษัทที่สามารถจัดการเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการพนักงานได้ลงตัว ให้เงินเดือนพนักงานได้มากกว่านี้ โดยที่ผู้ติดตามไม่ถึงล้าน และตนสนับสนุนให้แรงงานมาพูด ออกมาต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องพินอบพิเทานายจ้าง หากเจ้านายสั่งงานนอกเวลาต้องแสดงออกได้ว่าไม่พอใจ เวลาพักก็คือพัก หยุดก็คือหยุด ไม่ว่างก็คือไม่ว่าง และสามารถบอกเงินเดือนกับเพื่อนร่วมงานได้ เพื่อที่จะดูว่ามันแฟร์หรือเปล่า แล้วมาต่อรองกัน
ขณะที่หลายที่ได้เห็นโพสต์นี้ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก บางคนก็มองว่าเพราะแบบนี้การศึกษาถึงสำคัญ จริงอยู่ที่คนจบ ม.3 หรือ ม.6 แต่ก็ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อย และอีกอย่างการที่มีความรู้ มีการศึกษา คงไม่ออกมาเป็นโพสต์แบบนี้เพราะไม่เข้าใจบริบทของคำว่าธุรกิจ องค์ประกอบความรู้ และคุณภาพ
สมมุติว่ายอดขาย 10 ล้านบาท ได้กำไร 4 ล้านบาท ทุน 6 ล้านบาท ต้องให้พนักงานคนละ 1 ล้านบาทเหรอ แล้วเงินที่ต้องนำไปบริหารต่อจะเอาเงินที่ไหน จะให้พนักงานได้เงินเท่านายจ้าง คงจะเข้าใจผิด เพราะลูกจ้าง ไม่เท่ากับหุ้นส่วน
นอกจากนี้ การที่อายุ 20 ปี แล้วเงินเดือน 30,000 บาท ค่อนข้างที่จะเป็นเงินเดือนที่มากเกินไป สายงานตัดต่อบางบริษัทยังไม่ได้เยอะเท่านี้ ถ้าลองไปสมัครงานที่อื่นแล้วขอเงินเดือน 30,000 บาท นายจ้างไม่ให้แน่นอน ถ้าได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นก็ควรจะคว้าไว้ ไม่ใช่ทำแบบนี้กับคนที่มอบโอกาสให้
"การได้เจอเจ้านายที่ดีหรือผู้ใหญ่ที่เอ็นดูถือเป็นลาภอันประเสริฐเพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าในอนาคตคุณจะเจอคนที่ดีมามอบโอกาสให้คุณอีกไหม"
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
![คอมเมนต์ คอมเมนต์]()
จากดราม่าในวงการยูทูบเบอร์ที่คิวเท ซิม หรือ คิวเท โอ็ปป้า ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีใต้หัวใจไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาถูกลูกน้อง 4 คนหักหลัง ทั้งเลขาที่เปิดเผยข้อมูลบริษัท ขอวันพักผ่อนเพิ่ม, คนตัดต่อที่ออกไปทำช่องตัวเองแล้วทำงานหลักล่าช้า, คนตัดต่ออีกคนที่จบ ม.6 ทำงานไม่เป็น คิวเทต้องสอนงานให้ ได้เงินเดือน 3 หมื่น แต่มาขอเงินเดือนเพิ่ม และสุดท้ายคือทีมงานที่แอบขโมยของคิวเทมาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเรื่องนี้หลายคนก็แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
อ่านข่าว : สรุปดราม่า คิวเท โดนลูกน้อง 4 คนรุมสับ ขอเงินเดือนเพิ่ม เพราะให้แค่ 30,000 แฟร์หรือไม่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 15 มีนาคม 2565 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งออกมาโพสต์ข้อความวิจารณ์เรื่องดังกล่าวโดยมองว่าทำงานด้วยกัน เงินเดือนก็ต้องแฟร์ ๆ ถ้าไม่มีคนทำงานให้ แล้วคิวเทจะมีงานออกมาหรือเปล่า ช่องมีคนติดตามเกือบสิบล้าน แต่เงินเดือนพนักงานแค่ 3 หมื่นบาท แน่นอนว่า ถ้าลูกน้องเห็นรายรับที่นายจ้างได้ และเงินเดือนที่นายจ้างจ่ายลูกน้องและชั่วโมงการทำงาน สิ่งที่อยู่ในใจก็ต้องระเบิดออกมาเป็นธรรมดา
หนุ่มคนนี้มองอีกว่า นายจ้างก็ต้องรู้ตัวแล้วไหมว่าทำอะไรให้ลูกน้องไม่พอใจ แล้วก็ต้องมาคุย มาปรับโครงสร้างเงินเดือน และมองว่าจบอะไรมาก็ได้ แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ก็โอเคแล้วหรือเปล่า สังคมไทย ค่าของงานไม่ได้อยู่ที่ตัวงานจริง ๆ แต่อยู่ที่วุฒิการศึกษา การที่พูดเรื่องเลี้ยงข้าวนั้น เอาเงินค่าเลี้ยงข้าวไปเป็นเงินเดือนให้ก็ได้ แต่ไม่ทำ เพราะทำแบบนี้แล้วดูมีบุญคุณ แถมไม่ต้องเพิ่มเงินเดือน เป็นวัฒนธรรมทุนนิยม
อีกอย่างคือ มีบริษัทที่สามารถจัดการเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการพนักงานได้ลงตัว ให้เงินเดือนพนักงานได้มากกว่านี้ โดยที่ผู้ติดตามไม่ถึงล้าน และตนสนับสนุนให้แรงงานมาพูด ออกมาต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องพินอบพิเทานายจ้าง หากเจ้านายสั่งงานนอกเวลาต้องแสดงออกได้ว่าไม่พอใจ เวลาพักก็คือพัก หยุดก็คือหยุด ไม่ว่างก็คือไม่ว่าง และสามารถบอกเงินเดือนกับเพื่อนร่วมงานได้ เพื่อที่จะดูว่ามันแฟร์หรือเปล่า แล้วมาต่อรองกัน
ขณะที่หลายที่ได้เห็นโพสต์นี้ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก บางคนก็มองว่าเพราะแบบนี้การศึกษาถึงสำคัญ จริงอยู่ที่คนจบ ม.3 หรือ ม.6 แต่ก็ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อย และอีกอย่างการที่มีความรู้ มีการศึกษา คงไม่ออกมาเป็นโพสต์แบบนี้เพราะไม่เข้าใจบริบทของคำว่าธุรกิจ องค์ประกอบความรู้ และคุณภาพ
สมมุติว่ายอดขาย 10 ล้านบาท ได้กำไร 4 ล้านบาท ทุน 6 ล้านบาท ต้องให้พนักงานคนละ 1 ล้านบาทเหรอ แล้วเงินที่ต้องนำไปบริหารต่อจะเอาเงินที่ไหน จะให้พนักงานได้เงินเท่านายจ้าง คงจะเข้าใจผิด เพราะลูกจ้าง ไม่เท่ากับหุ้นส่วน
นอกจากนี้ การที่อายุ 20 ปี แล้วเงินเดือน 30,000 บาท ค่อนข้างที่จะเป็นเงินเดือนที่มากเกินไป สายงานตัดต่อบางบริษัทยังไม่ได้เยอะเท่านี้ ถ้าลองไปสมัครงานที่อื่นแล้วขอเงินเดือน 30,000 บาท นายจ้างไม่ให้แน่นอน ถ้าได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นก็ควรจะคว้าไว้ ไม่ใช่ทำแบบนี้กับคนที่มอบโอกาสให้
"การได้เจอเจ้านายที่ดีหรือผู้ใหญ่ที่เอ็นดูถือเป็นลาภอันประเสริฐเพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าในอนาคตคุณจะเจอคนที่ดีมามอบโอกาสให้คุณอีกไหม"




















