พ่อแชร์อุทาหรณ์ ลูกชายวัย 12 ปี ป่วยเส้นเลือดสมองแตก จากอาการปวดหัวธรรมดา กินข้าว อาบน้ำก็หาย ไม่คาดคิดจะกลายเป็นภัยเงียบพรากชีวิตลูกไป แพทย์ ระบุ เคสนี้อันตรายเกิดในจุดสำคัญมาก คือ ก้านสมอง มีเวลาแค่ 5 นาทีแรกเท่านั้น
กลายเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์สำหรับผู้ปกครอง ที่ควรระวังกับปัญหาเล็ก ๆ ของอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นกับลูกหลานอย่าง เส้นเลือดแตกในสมอง ที่แม้แต่เด็กอายุยังน้อยก็เกิดขึ้นได้
เช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เวลา 08.00 น. ลูกชายตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวมาก เรียกให้ผู้ใหญ่ช่วย แม่ให้กินพาราไป 1 เม็ด แล้วใช้เจลเย็นประคบ ทุกคนเตรียมตัวพาไปหาหมอเพราะรู้สึกแปลก ผ่านไป 10 นาที อาการไม่ดีขึ้น ลูกเริ่มบ่นว่าหูอื้อก่อนจะเริ่มนิ่ง แม่ถามอาการว่าดีขึ้นไหม ลูกตอบช้า ๆ แค่พยักหน้า แล้วหมดสติทิ้งตัว ตาปรือ เหมือนหลับแต่ปิดตาไม่สนิท เปิดเปลือกตาดู ตาลอย ไม่ทันสังเกตว่าม่านตาเปิดหรือไม่ ทุกคนรีบอุ้มน้องเพื่อจะไปโรงพยาบาลในทันที
เนื่องจากที่บ้านอยู่ฝั่งคลองต้องข้ามเรือเพื่อไปเอารถ พร้อมรีบโทร. เรียกรถฉุกเฉิน ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ข้ามเรือมาที่ฝั่ง มีคนในชุมชนให้แวะเข้าศูนย์พยาบาลระหว่างรอรถฉุกเฉิน เนื่องจากน้องเริ่มหายใจแผ่วลงแล้ว เจ้าหน้าที่พยาบาลที่ศูนย์รีบมาดูแจ้งว่าต้องใช้ที่ช่วยหายใจ จะให้พาน้องขึ้นรถไปเลยไม่ได้ ต้องให้รถพยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องช่วยหายใจได้มารับเท่านั้น เพราะถ้าไประหว่างทางน้องหมดลมหายใจ ภายในไม่กี่นาทีแน่นอน
ใช้เวลารออยู่พอสมควร รถจากศูนย์เอราวัณก็มาถึงและรับน้องส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่น้องรักษาประจำ พอมาถึงห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่เห็นอาการน้องก็ให้เข้าห้องฉุกเฉินได้ทันที ทุกอย่างยังราบรื่น แพทย์เด็กประจำห้องฉุกเฉินเข้ามาดูอาการและประเมินในทันทีว่า เป็นอาการทางสมอง โทร. ตามแพทย์ทางสมอง และแพทย์ประจำของน้อง ทุกท่านมาทันทีไม่ถึงนาที สรุปให้สแกนสมอง แล้วตามแพทย์เฉพาะทางผ่าตัดสมอง ถึงตอนนี้ใช้เวลาไปกว่า 1 ชั่วโมง โดยไม่มีอะไรสะดุด
ใช้เวลาซีทีแสกนไม่นาน แพทย์ผ่าตัดสมองอ่านผล แล้วตามพ่อและแม่มาฟังทันทีว่าต้องผ่าตัดเอาเลือดในสมองออก ตำแหน่งที่เลือดออกถือว่าเป็นจุดสำคัญมาก อยู่บริเวณ "ก้านสมอง" โอกาสน้อยมาก ต้องดูหลังจาก เอาเลือดที่ออกมาก่อนถึงจะแจ้งได้ว่าอย่างไร โดยเคสนี้อยู่ในข่ายคนไข้วิกฤต ที่รัฐช่วยค่ารักษาพยาบาลใน 72 ชั่วโมง โรงพยาบาลไม่ถามอะไรมาก แค่ถ้าน้องมีประกัน ขอบัตรประกันสุขภาพเพื่อเบิกตามสิทธิก่อน เจ้าหน้าที่ดำเนินการควบคู่กับการเตรียมผ่าตัด ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากตอนที่ถึงห้องฉุกเฉิน ทุกอย่างดำเนินการอย่างราบรื่น พยาบาลแจ้งว่าใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ช่วงเวลาบีบหัวใจ ครอบครัวทำดีที่สุดแล้ว แม้ความหวังน้อยมาก แต่ทุกคนก็ยังหวัง
ผู้โพสต์ ระบุว่า จากภาพสแกนและคำชี้แจงของแพทย์ผ่าตัดสมอง เรามีความหวังน้อยมาก ริบหรี่มาก ทุกคนทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว อารมณ์ตอนนั้นบีบหัวใจมาก ลืมหายใจเกือบตลอดเวลาที่นั่งรอน้องผ่าตัด น้ำตาคลอกันทุกคน แต่ทุกคนก็ยังให้ความหวัง บอกน้อง "ต้องสู้นะ" เวลาประมาณเที่ยง การผ่าเอาเลือดที่ออกในช่องสมอง ตรงบริเวณก้านสมองเสร็จ พยาบาลเอาเอกสารการขอฉีดสีมาให้เซ็น ทำให้มีความหวังว่า แพทย์ยังตัดสินใจฉีดสี น้องน่าจะมีอะไรที่บ่งบอกว่า ยังไหวหากฉีดสี
เรารออีกประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่พาน้องมาที่ห้องไอซียู แพทย์ทุกท่านได้เริ่มอธิบายเคสน้องให้ครอบครัวฟัง เวลานั้นเรายังหวังประโยคแรกที่ได้ยินจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมันบีบอารมณ์มาก
"เราเอาเลือดในช่องสมองออกแล้ว แต่ม่านตาน้องไม่ตอบสนองใด ๆ ก้านสมองถูกทำลาย ทำให้ไม่สั่งการอวัยวะต่าง ๆ ที่ทำงานอัตโนมัติ ให้ทำงานได้ ในทางการแพทย์ ถือว่า เสียชีวิตแล้ว"
ตอนนี้ชีพจรน้องอยู่ได้เพราะยากระตุ้นและเครื่องช่วยหายใจ ตกลงน้องไม่ได้ฉีดสี เพราะภาวะของสมองถูกทำลายไปมาก แพทย์ไม่ตัดสินใจที่จะเสี่ยงในการฉีดสี เพราะถ้าฉีดสีก็แค่ช่วยให้รู้ว่าเส้นเลือดแตกที่จุดไหน แต่ไม่ได้ช่วยในการรักษาใด ๆ แพทย์ประจำตัวน้องแจ้งว่า ขอให้โอกาสน้องได้มีชีพจรอยู่ต่อไป ให้โอกาสอีก 5-7 วัน โอกาสแม้จะน้อยแค่ไหน แต่น้องยังเด็ก ลองให้โอกาสน้องก่อน
คิดทบทวน สัญญานบางอย่างที่น้องเคยบอก แต่มองข้ามไป
เวลานั้นไม่มีความคิดใด ๆ มีแต่ความสงสัยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร เรามองข้ามสัญญานบางอย่างที่น้องเคยบอกไหม ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า น้องเคยถามว่า ทำไมคนเราถึงปวดหัว ซึ่งตอนนั้นน้องไม่ได้ปวดหัว เราก็ค่อย ๆ อธิบายว่าปวดหัวมีหลายอย่างนะ ยกตัวอย่างว่าเขาปวดหัว นอนพัก ไปกินข้าว หรืออาบน้ำก็หาย กรณีแบบนี้ก็แค่ร่างกายมีบางอย่างไม่ปกติ เช่น หิวข้าวไม่มีสารอาหาร หรืออากาศเย็นไปร้อนไป ตนก็เคยถามว่า เวลาปวด ปวดจี๊ด หรือปวดตุ้บ ๆ เหมือนหัวใจเต้น น้องอธิบายไม่ถูก ปวดตรงไหน ข้างซ้ายหรือขวา หรือตรงไหน น้องบอกว่า มันก็ตรงกลาง ๆ บอกไม่ถูก แล้วก็หันกลับไปดูมือถือ ไม่สนใจที่จะคุยกันต่อ
ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร ตรงนี้เหมือนเขาบอกอะไรเรา แต่เราไม่รู้ว่านี่คือจุดสำคัญของเคสนี้เลย ทำไมเราไม่เอะใจ ทำไมเราไม่ได้พาเขามาตรวจ คิดอยู่หลายครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติม ในช่วงเวลาที่ออกมารอหน้าห้องไอซียู มานั่งคิดทบทวนทุกอย่าง และพยายามถามสาเหตุจากคุณหมอหลาย ๆ ท่าน เวลาที่เข้ามาตรวจดูรายงานของน้อง
เคสนี้อันตราย เพราะเกิดในจุดที่สำคัญมาก เป็นจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ มีเวลาแค่ 5 นาทีแรกเท่านั้น
โดยเคสนี้ แพทย์หลายท่านสันนิษฐานจากอาการทั้งหมด เป็นที่น้องเกิดมามีปัญหาเส้นเลือดโป่งพองมาแต่กำเนิด พบได้ทั่วไปแต่คนอื่นอาจจะเป็นที่ช่องท้อง หรือจุดอื่น ๆ ในร่างกาย แต่น้องเกิดในจุดที่สำคัญมาก ๆ เป็นจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เคสลักษณะนี้น้องมีเวลาแค่ 5 นาทีแรกเท่านั้น เพราะจุดที่เกิดจะอยู่ข้าง ๆ หรือบนแกนสมองเลย และขนาดของก้อนเลือดใหญ่พอ ๆ กับลูกกอล์ฟ ต่อให้ไม่ทำให้ก้านสมองเสียหาย สมองส่วนล่างตรงท้ายทอยก็ถูกทำลายไปถึง 2 ใน 3 ของเนื้อสมองส่วนนั้น ก็ไม่สามารถเดินหรือขยับตัวได้อีกหลาย ๆ ปี
วินาทีนั้นเราก็ยังให้โอกาส ทุกคนยังรออยู่หน้าห้องต่อไป ไม่มีใครกล้าบอกคนภายนอก เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังไม่รู้ว่า ทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วผลต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกล้าที่จะพูดว่า "น้องจากไปแล้ว" เป็นคำที่พูดไม่ได้ แม้แต่คิด ก็อยากจะเอาความคิดนี้ออกไป บอกได้แค่ว่า "ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว" "ธรรมชาติให้เวลาเขาเพียงแค่นี้"
อย่างไรก็ตาม ผู้โพสต์อยากแบ่งปันให้ทุกคนใส่ใจ กับปัญหาเล็ก ๆ ของอาการปวดหัว "เส้นเลือดแตกในสมอง" แม้แต่เด็ก อายุยังน้อยก็เกิดขึ้นได้ เด็กหากปวดหัว ต้องถามและสังเกตอาการ ต้องบอกให้เด็กเข้าใจว่า ถ้าเป็นที่จุดเดิมซ้ำ ๆ กัน แม้จะไม่มีอาการหนัก ต้องบอกผู้ใหญ่ ต้องตรวจให้แน่ชัด เพราะตำแหน่งที่เกิดที่เดิมซ้ำ ๆ จุดนั้นจะเป็นปัญหา ยิ่งเป็นจุดที่สำคัญ ยิ่งต้องรีบหาสาเหตุ
หากเกิดปัญหา เด็กปวดหัวรุนแรง โดยไม่มีสาเหตุ ให้พาไปโรงพยาบาลด่วนที่สุด ใช้ความเย็นประคบในจุดที่เป็นต้นทาง เช่น ขมับ, กกหู หรือต้นคอ ลดการไหลเวียนเลือดขึ้นไปที่สมอง (ห้ามใช้ในกรณีที่เส้นเลือดตีบ ซึ่งอาการจะต่างจากน้อง ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ) ติดต่อกู้ภัย และหน่วยฉุกเฉินต่าง ๆ พร้อม ๆ กัน จะช่วยประสานงานได้ดีขึ้น สำคัญคือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และควรมีโรงพยาบาลที่ไปเป็นประจำ