
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง ทำให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับผลกระทบและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้เป้าหมายของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประชาคมโลก (Net Zero Emissions) เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม โดยประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกได้ให้คำมั่นสัญญาในการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 ผ่านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ซึ่งพันธกิจนี้ได้สร้างความตื่นตัวและความตระหนักให้แก่ทุกภาคส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเป็นรูปธรรม
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี 2556 ถึงปัจจุบัน กฟผ. สามารถลดก๊าซเรือนกระจกในระดับมาตรการจากการดำเนินงานได้มากกว่า 42 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมมุ่งสู่ Carbon Neutrality ของประเทศไทยภายในปี ค.ศ. 2050 ผ่านนโยบาย EGAT Carbon Neutrality เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ภายใต้หลักการสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ ภายใต้กลยุทธ์ "Triple S" ประกอบด้วย
S1 - Sources Transformation
การจัดการตั้งแต่ต้นกำเนิด ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับเขื่อนพลังน้ำและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid modernization) และการนำเทคโนโลยีทันสมัยและพลังงานทางเลือกมาใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าในอนาคต

การเพิ่มปริมาณการดูดซับกักเก็บคาร์บอน อาทิ โครงการปลูกป่าล้านไร่อย่างมีส่วนร่วม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) เพื่อกักเก็บคาร์บอนปริมาณ 3.5 - 7 ล้านตัน ในปีพ.ศ. 2588

กลไกการสนับสนุนโครงการชดเชยและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 การให้คำปรึกษาด้านพลังงาน การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โครงการห้องเรียนสีเขียวกว่า 400 โรงเรียนทั่วประเทศ
