เปิดค่ารักษาโรคจิตเวช เผยข้อดี-ข้อเสีย สถานที่รักษาแต่ละที่ แต่ละโรงพยาบาลต่างกันยังไง ค่ารักษาแพงจริงไหม หลังคนกลัวเสียเงินเยอะไม่กล้าไปหาหมอ
วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 เพจเฟซบุ๊ก หมอปอขอเล่าเรื่องโรคจิตเวช ได้มีการโพสต์ข้อความระบุว่า อ่านข่าวศิลปินไปเข้ารับการรักษาในแผนกจิตเวชโรงพยาบาลเอกชน แล้วเสียค่าใช้จ่ายไป 6 แสน กลัวว่าเดี๋ยวคนทั่วไปจะตกใจและเข้าใจผิดว่าการรักษาโรคทางจิตเวชแพงจนจะหมดตัวแล้วไม่กล้าไปหาหมอกัน เลยต้องขอ re-run บทความเดิมที่เคยเขียนไว้หน่อย
เชื่อว่าหลายคนเคยมีความคิดอยากไปพบจิตแพทย์ แต่ก็กังวลเหลือเกินว่าจะไปที่ไหน ต้องทำยังไงถึงจะได้เจอจิตแพทย์ ค่าตรวจ-ค่ายาแพงมั้ย จริง ๆ แล้วหมอจะบอกว่า เราเลือกเองได้ว่าเราอยากไปที่ไหน แต่ก่อนไปต้องรู้ก่อนนะว่าที่นั่นมีจิตแพทย์มั้ย
ถ้าเลือกไปโรงพยาบาลของรัฐ จะแบ่งได้ 3 กลุ่ม
1. โรงพยาบาลศูนย์ (มีศักยภาพสูง มีแผนกต่าง ๆ ค่อนข้างครบ), โรงพยาบาลทั่วไป (เช่น โรงพยาบาลประจำจังหวัด) และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่
ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิการรักษาอยู่แล้ว เช่น บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตร 30 บาท) หรือประกันสังคม เราสามารถขอไปตรวจแผนกจิตเวชได้เลย ข้อดีคือ ถ้าเราใช้ยาในบัญชียาหลัก เราไม่ต้องเสียทั้งค่าหมอและค่ายาเลย แต่ถ้าโรงพยาบาลต้นสังกัดเราไม่มีจิตแพทย์ ขอให้หมอที่ตรวจทำหนังสือส่งตัวเพื่อไปพบจิตแพทย์ในโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้นได้
- จิตแพทย์แต่ละโรงพยาบาลมีน้อย แค่ 1-2 คน และไม่ได้รับหน้าที่ตรวจแต่คนไข้นอก ยังต้องรับปรึกษาคนไข้ในด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่จะมีเวลาตรวจแค่ครึ่งวันและอาจจะไม่ได้ตรวจทุกวันด้วย แต่ก็จะมีตารางตรวจที่ชัดเจน คนไข้ที่มาตรวจแบบผู้ป่วยนอกแต่ละวันค่อนข้างเยอะ หมออาจไม่สามารถคุยได้นาน ยกเว้นเป็นผู้ป่วยใหม่ที่ต้องตรวจแบบละเอียดจริง ๆ เท่านั้น
- หากเคยไปรักษาที่อื่นมาก่อนและได้ยานอกบัญชียาหลักมา อยากจะกลับมารักษาใกล้บ้าน อาจจะไม่มียาตัวนั้นก็ได้ ก็ต้องมาให้หมอลองปรับยาเป็นยาที่พอมีในโรงพยาบาล
- อาจจะรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ก้าวร้าวมาก ไว้นอนในโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะหอผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีแผนกเฉพาะของจิตเวช อาจต้องไปนอนรวมกับผู้ป่วยอายุรกรรมหรือศัลยกรรม ซึ่งหากผู้ป่วยวุ่นวายมาก ไม่ร่วมมือรักษา ก็จะต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชอีกที
2. โรงพยาบาลจิตเวชสังกัดกรมสุขภาพจิต หรือกรมการแพทย์
- มีจิตแพทย์ออกตรวจทุกวันแน่นอน วันละ 2-4 คน ขึ้นกับจำนวนจิตแพทย์ของโรงพยาบาลนั้น มีทั้งจิตเวชทั่วไปและจิตเวชเด็ก และสามารถรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก เช่น มีความคิดอยากตายรุนแรง ก้าวร้าววุ่นวายมาก เพื่อรักษาตัวในโรงพยาบาลได้
- โรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิตจะรับผู้ป่วยจิตเวชทั่วไปและผู้ป่วยสารเสพติดบางส่วน
- โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ เช่น โรงพยาบาลธัญญารักษ์ จะเน้นรับผู้ป่วยที่มาบำบัดยาเสพติด ข้อดีอีกข้อคือ มียาให้เลือกใช้หลายชนิด หากไม่สามารถรักษาด้วยยาในบัญชียาหลักได้ ยังมียานอกบัญชีให้ใช้ได้อีกหลายตัว
- จำนวนคนไข้แต่ละวันเรียกว่ามหาศาล วันนึงตรวจกัน 200-300 คน ดังนั้นถ้าไปเอาคิวแต่เช้าไม่ทันอาจนั่งรอทั้งเช้าแล้วได้ตรวจตอนบ่าย หมอมีเวลาคุยได้ไม่นาน ถ้าอาการดีอาจได้คุย 2-5 นาทีจบ ไม่มีเวลามานั่งปลอบใจทำจิตบำบัดกัน ถ้าต้องทำจริงอาจต้องส่งนัดพบนักจิตวิทยาเป็นคนทำจิตบำบัดแทน ถ้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเองขอตรวจโดยไม่มีใบส่งตัวมา ไม่มีอาการฉุกเฉิน จ่ายตังค์เองไม่ฟรีนะจ๊ะ
3. โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ที่มีรับฝึกอบรมจิตแพทย์ เช่น จุฬาฯ ศิริราช รามาฯ สมเด็จเจ้าพระยา พระมงกุฎ ขอนแก่น สงขลาราชนครินทร์ เชียงใหม่
- หมอมีเวลาคุยนานมากกว่า 2 แบบแรก แต่จะมีหมอ 2 แบบ คือ อาจารย์จิตแพทย์ กับแพทย์ที่เรียนจบแล้วแต่มาเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวช ถ้าเป็นอาจารย์จิตแพทย์ที่อยู่มานาน มีคนไข้เยอะ จะมีเทคนิคแพรวพราว ฝีปากเฉียบคมเจาะใจเราได้ง่าย ๆ ส่วนหมอที่กำลังมาฝึกเป็นจิตแพทย์ก็ไม่ได้แย่ เผลอ ๆ กลุ่มนี้อาจจะตรวจได้ดีที่สุดเพราะประสบการณ์ยังไม่มาก เค้าจะถามละเอียดมาก ใช้เวลากับเรานาน ถามไปถึงความเป็นมาชีวิตวัยเด็กปมในอดีตต่าง ๆ อย่างละเอียดทีเดียว และเป็นหมอกลุ่มที่มีความเห็นอกเห็นใจตั้งใจดูแลคนไข้อย่างดีที่สุด
- มีหอผู้ป่วยที่รับผู้ป่วยที่ต้องรักษาแบบผู้ป่วยในได้เหมือนกัน มียาให้เลือกใช้หลากหลายมากกว่าโรงพยาบาลกลุ่มที่ 1 หรือบางที่มีมากกว่ากลุ่มที่ 2 เสียอีก
- ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักษาได้ฟรี ถ้าไม่ได้ผ่านระบบการส่งตัวมา ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายตรง หรือไม่มีสิทธิประกันสังคมโรงพยาบาลนั้น ต้องจ่ายเอง แต่ค่ายาไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน ยกเว้นยากลุ่มนอกบัญชียาหลักอาจจะมีราคาสูง และเหมือนกับโรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ คือคนไข้เยอะต้องไปนั่งรอเหมือนกัน
โรงพยาบาลเอกชน
- ระดับเอกชน มักจะเป็นจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว มีเวลาให้คนไข้มาก ส่วนใหญ่ประมาณครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย เพราะมักจะมีตารางนัดที่ชัดเจน ไม่ต้องนั่งรอ มาตามเวลานัดเข้าตรวจได้เลย หมอส่วนใหญ่ใจดีมาก
- มียาให้เลือกใช้เยอะ ถ้ามีผลข้างเคียงที่ไม่โอเค หรือใช้แล้วไม่ได้ผล สามารถขอเปลี่ยนยาได้ทันที
- ถ้าคุยกับหมอคนนึงไม่ click กันสามารถเลือกเปลี่ยนหมอได้เอง
- all good services come with a price อยากได้ของดีก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่ายาเอกชนก็มีความแตกต่างกันไป บางที่แพงไม่มาก บางที่แพงหูฉี่
- มีอีกอย่างที่ต้องจ่ายคือค่าหมอ บางคนต้องทำจิตบำบัดด้วยก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
คลินิก
- มีความสะดวกด้านเวลา เพราะกลุ่มโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน หมอส่วนใหญ่ก็ยังตรวจแค่ช่วงกลางวัน แต่คลินิกมักเปิดเวลาเย็นหรือวันหยุด ซึ่งไม่กระทบกับช่วงเวลาทำงานของคนไข้ หมอที่เปิดคลินิกได้ต้องเป็นจิตแพทย์แล้วทุกคนเพราะเป็นคลินิกเฉพาะทาง ดังนั้นคุณจะได้ตรวจกับจิตแพทย์แน่นอน
- จ่ายเองเต็ม ๆ เพราะไม่มีคลินิกจิตเวชไหนรับบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม บัตรทอง หรือประกันชีวิตนะครับ แต่ค่ายาส่วนใหญ่มักถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน
ทีนี้บางคนสงสัยว่าเวลาไปโรงพยาบาลไปคลินิกจะบอกว่ายังไง พูดไม่เป็นบอกไม่ถูก ไม่ยากครับ "เป็นอะไรก็บอกอันนั้นแหละ" แค่นอนไม่หลับก็บอกนอนไม่หลับ เครียดก็บอกว่าเครียด เศร้า หงุดหงิด อยากตาย บอกได้หมดเลย แล้วก็บอกว่าอยากพบจิตแพทย์ ส่วนปัญหาอื่น ๆ เดี๋ยวจิตแพทย์เราช่วยแงะเองครับ บางคนบอกไม่เป็นไรแค่นอนไม่หลับ นั่งคุยแค่ 5 นาที ต่อมน้ำตาแตกพรั่งพรูความรู้สึกที่เก็บกดไว้เป็นชั่วโมงก็มีมาแล้ว สุดท้ายนี้หมอขอบอกว่า "มาเหอะ อยากเจอ ;)"
ขอบคุณข้อมูลจาก หมอปอขอเล่าเรื่องโรคจิตเวช
วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 เพจเฟซบุ๊ก หมอปอขอเล่าเรื่องโรคจิตเวช ได้มีการโพสต์ข้อความระบุว่า อ่านข่าวศิลปินไปเข้ารับการรักษาในแผนกจิตเวชโรงพยาบาลเอกชน แล้วเสียค่าใช้จ่ายไป 6 แสน กลัวว่าเดี๋ยวคนทั่วไปจะตกใจและเข้าใจผิดว่าการรักษาโรคทางจิตเวชแพงจนจะหมดตัวแล้วไม่กล้าไปหาหมอกัน เลยต้องขอ re-run บทความเดิมที่เคยเขียนไว้หน่อย
ไขข้อสงสัย ไปหาจิตแพทย์ได้ที่ไหนบ้าง ไปแล้วจะพูดยังไง ข้อดี-ข้อเสียของ รพ. รัฐ-เอกชน-คลินิก
เชื่อว่าหลายคนเคยมีความคิดอยากไปพบจิตแพทย์ แต่ก็กังวลเหลือเกินว่าจะไปที่ไหน ต้องทำยังไงถึงจะได้เจอจิตแพทย์ ค่าตรวจ-ค่ายาแพงมั้ย จริง ๆ แล้วหมอจะบอกว่า เราเลือกเองได้ว่าเราอยากไปที่ไหน แต่ก่อนไปต้องรู้ก่อนนะว่าที่นั่นมีจิตแพทย์มั้ย
ถ้าเลือกไปโรงพยาบาลของรัฐ จะแบ่งได้ 3 กลุ่ม
1. โรงพยาบาลศูนย์ (มีศักยภาพสูง มีแผนกต่าง ๆ ค่อนข้างครบ), โรงพยาบาลทั่วไป (เช่น โรงพยาบาลประจำจังหวัด) และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่
ข้อดี
ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิการรักษาอยู่แล้ว เช่น บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตร 30 บาท) หรือประกันสังคม เราสามารถขอไปตรวจแผนกจิตเวชได้เลย ข้อดีคือ ถ้าเราใช้ยาในบัญชียาหลัก เราไม่ต้องเสียทั้งค่าหมอและค่ายาเลย แต่ถ้าโรงพยาบาลต้นสังกัดเราไม่มีจิตแพทย์ ขอให้หมอที่ตรวจทำหนังสือส่งตัวเพื่อไปพบจิตแพทย์ในโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้นได้
ข้อเสีย
- จิตแพทย์แต่ละโรงพยาบาลมีน้อย แค่ 1-2 คน และไม่ได้รับหน้าที่ตรวจแต่คนไข้นอก ยังต้องรับปรึกษาคนไข้ในด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่จะมีเวลาตรวจแค่ครึ่งวันและอาจจะไม่ได้ตรวจทุกวันด้วย แต่ก็จะมีตารางตรวจที่ชัดเจน คนไข้ที่มาตรวจแบบผู้ป่วยนอกแต่ละวันค่อนข้างเยอะ หมออาจไม่สามารถคุยได้นาน ยกเว้นเป็นผู้ป่วยใหม่ที่ต้องตรวจแบบละเอียดจริง ๆ เท่านั้น
- หากเคยไปรักษาที่อื่นมาก่อนและได้ยานอกบัญชียาหลักมา อยากจะกลับมารักษาใกล้บ้าน อาจจะไม่มียาตัวนั้นก็ได้ ก็ต้องมาให้หมอลองปรับยาเป็นยาที่พอมีในโรงพยาบาล
- อาจจะรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ก้าวร้าวมาก ไว้นอนในโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะหอผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีแผนกเฉพาะของจิตเวช อาจต้องไปนอนรวมกับผู้ป่วยอายุรกรรมหรือศัลยกรรม ซึ่งหากผู้ป่วยวุ่นวายมาก ไม่ร่วมมือรักษา ก็จะต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชอีกที
2. โรงพยาบาลจิตเวชสังกัดกรมสุขภาพจิต หรือกรมการแพทย์
ข้อดี
- มีจิตแพทย์ออกตรวจทุกวันแน่นอน วันละ 2-4 คน ขึ้นกับจำนวนจิตแพทย์ของโรงพยาบาลนั้น มีทั้งจิตเวชทั่วไปและจิตเวชเด็ก และสามารถรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก เช่น มีความคิดอยากตายรุนแรง ก้าวร้าววุ่นวายมาก เพื่อรักษาตัวในโรงพยาบาลได้
- โรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิตจะรับผู้ป่วยจิตเวชทั่วไปและผู้ป่วยสารเสพติดบางส่วน
- โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ เช่น โรงพยาบาลธัญญารักษ์ จะเน้นรับผู้ป่วยที่มาบำบัดยาเสพติด ข้อดีอีกข้อคือ มียาให้เลือกใช้หลายชนิด หากไม่สามารถรักษาด้วยยาในบัญชียาหลักได้ ยังมียานอกบัญชีให้ใช้ได้อีกหลายตัว
ข้อเสีย
- จำนวนคนไข้แต่ละวันเรียกว่ามหาศาล วันนึงตรวจกัน 200-300 คน ดังนั้นถ้าไปเอาคิวแต่เช้าไม่ทันอาจนั่งรอทั้งเช้าแล้วได้ตรวจตอนบ่าย หมอมีเวลาคุยได้ไม่นาน ถ้าอาการดีอาจได้คุย 2-5 นาทีจบ ไม่มีเวลามานั่งปลอบใจทำจิตบำบัดกัน ถ้าต้องทำจริงอาจต้องส่งนัดพบนักจิตวิทยาเป็นคนทำจิตบำบัดแทน ถ้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเองขอตรวจโดยไม่มีใบส่งตัวมา ไม่มีอาการฉุกเฉิน จ่ายตังค์เองไม่ฟรีนะจ๊ะ
3. โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ที่มีรับฝึกอบรมจิตแพทย์ เช่น จุฬาฯ ศิริราช รามาฯ สมเด็จเจ้าพระยา พระมงกุฎ ขอนแก่น สงขลาราชนครินทร์ เชียงใหม่
ข้อดี
- หมอมีเวลาคุยนานมากกว่า 2 แบบแรก แต่จะมีหมอ 2 แบบ คือ อาจารย์จิตแพทย์ กับแพทย์ที่เรียนจบแล้วแต่มาเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวช ถ้าเป็นอาจารย์จิตแพทย์ที่อยู่มานาน มีคนไข้เยอะ จะมีเทคนิคแพรวพราว ฝีปากเฉียบคมเจาะใจเราได้ง่าย ๆ ส่วนหมอที่กำลังมาฝึกเป็นจิตแพทย์ก็ไม่ได้แย่ เผลอ ๆ กลุ่มนี้อาจจะตรวจได้ดีที่สุดเพราะประสบการณ์ยังไม่มาก เค้าจะถามละเอียดมาก ใช้เวลากับเรานาน ถามไปถึงความเป็นมาชีวิตวัยเด็กปมในอดีตต่าง ๆ อย่างละเอียดทีเดียว และเป็นหมอกลุ่มที่มีความเห็นอกเห็นใจตั้งใจดูแลคนไข้อย่างดีที่สุด
- มีหอผู้ป่วยที่รับผู้ป่วยที่ต้องรักษาแบบผู้ป่วยในได้เหมือนกัน มียาให้เลือกใช้หลากหลายมากกว่าโรงพยาบาลกลุ่มที่ 1 หรือบางที่มีมากกว่ากลุ่มที่ 2 เสียอีก
ข้อเสีย
- ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักษาได้ฟรี ถ้าไม่ได้ผ่านระบบการส่งตัวมา ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายตรง หรือไม่มีสิทธิประกันสังคมโรงพยาบาลนั้น ต้องจ่ายเอง แต่ค่ายาไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน ยกเว้นยากลุ่มนอกบัญชียาหลักอาจจะมีราคาสูง และเหมือนกับโรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ คือคนไข้เยอะต้องไปนั่งรอเหมือนกัน
โรงพยาบาลเอกชน
ข้อดี
- ระดับเอกชน มักจะเป็นจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว มีเวลาให้คนไข้มาก ส่วนใหญ่ประมาณครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย เพราะมักจะมีตารางนัดที่ชัดเจน ไม่ต้องนั่งรอ มาตามเวลานัดเข้าตรวจได้เลย หมอส่วนใหญ่ใจดีมาก
- มียาให้เลือกใช้เยอะ ถ้ามีผลข้างเคียงที่ไม่โอเค หรือใช้แล้วไม่ได้ผล สามารถขอเปลี่ยนยาได้ทันที
- ถ้าคุยกับหมอคนนึงไม่ click กันสามารถเลือกเปลี่ยนหมอได้เอง
ข้อเสีย
- all good services come with a price อยากได้ของดีก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่ายาเอกชนก็มีความแตกต่างกันไป บางที่แพงไม่มาก บางที่แพงหูฉี่
- มีอีกอย่างที่ต้องจ่ายคือค่าหมอ บางคนต้องทำจิตบำบัดด้วยก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
คลินิก
ข้อดี
- มีความสะดวกด้านเวลา เพราะกลุ่มโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน หมอส่วนใหญ่ก็ยังตรวจแค่ช่วงกลางวัน แต่คลินิกมักเปิดเวลาเย็นหรือวันหยุด ซึ่งไม่กระทบกับช่วงเวลาทำงานของคนไข้ หมอที่เปิดคลินิกได้ต้องเป็นจิตแพทย์แล้วทุกคนเพราะเป็นคลินิกเฉพาะทาง ดังนั้นคุณจะได้ตรวจกับจิตแพทย์แน่นอน
ข้อเสีย
- จ่ายเองเต็ม ๆ เพราะไม่มีคลินิกจิตเวชไหนรับบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม บัตรทอง หรือประกันชีวิตนะครับ แต่ค่ายาส่วนใหญ่มักถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน
ทีนี้บางคนสงสัยว่าเวลาไปโรงพยาบาลไปคลินิกจะบอกว่ายังไง พูดไม่เป็นบอกไม่ถูก ไม่ยากครับ "เป็นอะไรก็บอกอันนั้นแหละ" แค่นอนไม่หลับก็บอกนอนไม่หลับ เครียดก็บอกว่าเครียด เศร้า หงุดหงิด อยากตาย บอกได้หมดเลย แล้วก็บอกว่าอยากพบจิตแพทย์ ส่วนปัญหาอื่น ๆ เดี๋ยวจิตแพทย์เราช่วยแงะเองครับ บางคนบอกไม่เป็นไรแค่นอนไม่หลับ นั่งคุยแค่ 5 นาที ต่อมน้ำตาแตกพรั่งพรูความรู้สึกที่เก็บกดไว้เป็นชั่วโมงก็มีมาแล้ว สุดท้ายนี้หมอขอบอกว่า "มาเหอะ อยากเจอ ;)"
ขอบคุณข้อมูลจาก หมอปอขอเล่าเรื่องโรคจิตเวช