หนูน้อย 4 ขวบ กลายเป็นฮีโร่ ช่วยชีวิตแม่ในนาทีวิกฤต โทร. แจ้งเบอร์ฉุกเฉิน 120 ของจีน คนชื่นชมรับมือสถานการณ์ได้อย่างดี

ภาพจาก pixiaomo / Shutterstock.com
วันที่ 18 ตุลาคม 2565 เว็บไซต์ ETtoday มีรายงานเรื่องราวที่ได้รับเสียงชื่นชมจากบนโลกออนไลน์ของจีน
เมื่อเด็กชายวัย 4 ขวบ ได้ช่วยชีวิตแม่ของตัวเองไว้ในนาทีวิกฤต ด้วยการโทร.
ติดต่อหน่วยฉุกเฉิน สายด่วน 120 เพื่อขอความช่วยเหลือ
หลังจากเห็นแม่ล้มและขยับตัวไม่ได้ ตอนกลางดึก
ขณะอยู่ด้วยกันในบ้านตามลำพัง
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน ประเทศจีน โดยรายงานเผยว่า นางเซียว ได้ตื่นขึ้นมาในเวลา 03.00 น. เพื่อจะชงนมให้ลูก แต่ระหว่างนั้นจู่ ๆ เธอก็ล้มไปและขยับตัวไม่ได้ เมื่อ โหยวโหยว (นามสมมติ) ลูกชายวัย 4 ขวบเห็นแม่ล้มไป จึงรีบหยิบโทรศัพท์กดเบอร์ไปยังสายด่วน 120 ทันที
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน ประเทศจีน โดยรายงานเผยว่า นางเซียว ได้ตื่นขึ้นมาในเวลา 03.00 น. เพื่อจะชงนมให้ลูก แต่ระหว่างนั้นจู่ ๆ เธอก็ล้มไปและขยับตัวไม่ได้ เมื่อ โหยวโหยว (นามสมมติ) ลูกชายวัย 4 ขวบเห็นแม่ล้มไป จึงรีบหยิบโทรศัพท์กดเบอร์ไปยังสายด่วน 120 ทันที
ด้วยความตื่นตระหนกและเป็นกังวล ตอนแรกเด็กชายร้องไห้ไม่หยุด เขาพยายามบอกเจ้าหน้าที่ด้วยเสียงสะอื้นว่า "แม่ผมกำลังจะตาย", "มีคนล้มที่นี่" และ "แม่รับสายไม่ได้"

ในตอนนั้น เจ้าหน้าที่พยายามปลอบเด็กชายอย่างใจเย็น และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากหนูน้อย พร้อม ๆ กับช่วยประสานขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ทั้งนี้ แม้จะไม่สามารถทราบที่อยู่แน่ชัดได้ในทันที แต่โชคดีที่ตรวจสอบพบว่าแม่ของเด็กเคยโทร. มายังหน่วยฉุกเฉินก่อนหน้านี้ ทำให้มีบันทึกข้อมูลที่อยู่ไว้ ซึ่งเมื่อได้รับการยืนยันจากเด็กชายว่าเป็นที่อยู่นั้น เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินกับทางตำรวจ จึงสามารถเข้าไปช่วยเหลือและนำตัวแม่เด็กส่งถึงมือหมอได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ นางเซียว เปิดเผยว่า ในตอนที่เธอล้มไปนั้น แม้จะยังมีสติรู้ตัวอยู่ แต่กลับไม่สามารถขยับหรือส่งเสียงพูดได้
เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผย ทำให้ผู้คนมากมายเข้ามาชื่นชมในความชาญฉลาดของเด็กชาย ที่สามารถโทร. ไปขอความช่วยเหลือได้ เช่น "เจ้าหนูฉลาดมาก เขารู้วิธีโทร. ไปเบอร์ 120 ด้วย" "เด็กชาย 4 ขวบ ใจเย็นมากในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน" และ "ถ้าเป็นฉันตอน 4 ขวบ คงทำได้แค่ร้องไห้ไม่ก็หลับแบบไม่รู้เรื่อง"
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก ETtoday