นักวิชาการร่วมแฉ กระบวนการซื้อ-ขาย งานวิจัย พบมีรายชื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยดังภาคเหนือโผล่ จ่าย 3 หมื่น ก่อนเบิกต้นสังกัดได้กำไรนับแสน
กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในวงการนักวิชาการ และในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย กรณีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2566 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาแฉพฤติกรรมการซื้อขายงานวิจัยโดยไม่ต้องทำจริง โดยมีขายมากมายหลายหัวข้อ แต่ละงานจะเปิดขายสำหรับใส่ชื่อตามลำดับความสำคัญและการมีส่วนร่วม การมีชื่ออยู่ลำดับแรกจะต้องจ่ายสูงกว่าลำดับอื่น ๆ ถัดลงไป เมื่อกระบวนการนี้มีผู้ซื้อรายชื่อครบ งานวิจัยเล่มนี้ก็จะถูกส่งไปตีพิมพ์ ส่งผลให้ผู้ที่จ่ายเงินและมีรายชื่อสามารถนำมาเคลมเป็นผลงานวิชาการของตัวเองได้
อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจสอบจึงพบว่ามีชื่อนักวิจัยไทยปรากฏอยู่ในงานวิจัยประเภทนี้เป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งชื่ออาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ และชื่อของอาจารย์จากวิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่ง เป็นต้น โดยเฉพาะ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ เดิมทีในปี 2562 อาจารย์รายนี้มีงานวิจัยแค่ 1 ชิ้น จากนั้นปี 2563 มีเพิ่มเป็น 40 ชิ้น และในปี 2564 มีเพิ่มถึง 90 ชิ้น ซึ่งคนในวงการวิชาการ ได้แฉเพิ่มว่า การไปซื้อชื่อเป็นผู้แต่งลำดับที่ 1 เสียค่าใช้จ่าย 900 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,000 บาท) แต่อาจารย์สามารถนำงานวิจัยไปเบิกเงินกับมหาวิทยาลัยได้ถึง 120,000 บาท
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผอ.ไบโอเทค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า ธุรกิจที่น่ากลัวที่สุดของสังคมวิจัย คือการที่นักวิจัยไปซื้องานวิจัยที่ตัวเองไม่ได้ทำ เช่น ไปอ่านงานที่คิดว่าอยากมีชื่อตัวเองใน Paper นั้น ๆ แล้วใช้เงินไปซื้อตำแหน่งของการเป็นผู้แต่ง หรือ ผู้นิพนธ์ ในงานวิจัย ชื่อแรกก็จะแพงหน่อย ชื่อกลาง ๆ ก็จะถูกหน่อย เมื่อได้จำนวนผู้แต่งครบแล้ว งานวิจัยผี ๆ นี้ก็ส่งไปตีพิมพ์ โดยคนที่จ่ายเงินเป็นผู้แต่งก็จะไปสามารถ เคลมผลงานทางวิชาการ หรือ ไปใช้ขอทุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อถอนทุนคืนได้
ข้อสังเกตว่าอาจจะเข้าข่ายนั้น งานวิจัยที่ออกมาเหล่านี้ จะมีผู้แต่งแบบหลากหลายสถาบัน หลายประเทศ ซึ่งแต่ละคนไม่เคยเห็นหน้า หรือรู้จักกัน พฤติกรรมแบบนี้ไม่แตกต่างจากการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในวงการราชการ ที่เสียใจคือ เห็นชื่อนักวิจัยของไทยในงานแบบนี้ด้วย
ด้าน ศ. นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ร่วมตีแผ่เรื่องนี้ผ่านทวิตเตอร์ @manopsi ความว่า "เรื่องฉาวของวงการวิจัยและมหาวิทยาลัยตอนนี้ คือการขุดพบว่า อาจารย์บางคนมีผลงานตีพิมพ์ มี ชื่ออ้างอิงในงานวิจัย (Citation) และ จำนวนผลงานวิจัย (H-index) สูงเพราะไปซื้อการเป็นเจ้าของงานวิจัย (Authorship) ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากระดับเดียวกับ ผลการวิจัยที่ไม่มีจริง (Data Fabrication) และ การลอกเลียนงานวิจัย (Plagiarism) ซึ่ง ผู้บริหารต้องจัดการครับ สิ่งนี้ถือเป็นตราบาปรุนแรง (Unforgivable sin) ในวงการวิจัย"
ขณะที่ รศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ใจความว่า มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนหนึ่ง ไปตีพิมพ์ในเรื่องของวัสดุนาโนเป็นชื่อที่หนึ่งโดยจ่ายค่าตีพิมพ์ไป 30,000 บาท โดยที่สายงานอยู่เทคนิคการแพทย์ ไม่ใช่วัสดุศาสตร์ แล้วนำบทความที่ตีพิมพ์นั้นมาเบิกกับมหาวิทยาลัยจำนวน 120,000 บาท เรื่องนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องสืบสวนสอบสวนครับ เพราะตอนนี้มีเว็บไซต์ที่ขายการเอาชื่อไปแปะในวารสารวิชาการ กำลังเป็นประเด็นอยู่
นอกจากนี้ รศ. ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Pinkaew Laungaramsri ใจความว่า หากเข้าไปค้นหาชื่อของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่งที่กำลังเป็นที่พูดถึง จะมีประวัติการตีพิมพ์บทความภาษาอังกฤษใน Academia EDU และ Loop.Frontiersin.org จะพบเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งขึ้น เพราะชื่อของเขาที่ปรากฏร่วมกับคนอื่นในวารสารต่าง ๆ นั้น ไม่ได้มีแค่บทความข้ามศาสตร์เกี่ยวกับวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังมีบทความเกี่ยวกับเกษตร คริปโต เศรษฐศาสตร์การเงิน บางบทความก็เป็นการวิจัยในรัสเซีย ในอินโดนีเซีย ในโลกมุสลิม ข้อมูลเหล่านี้แสดงว่าทำมานานแล้ว และน่าแปลกใจว่าไม่มีอับอาย
กรณีเช่นนี้ อยากให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจัดการ เพราะถือเป็นการหากินจากการนำเงินมหาวิทยาลัยไปซื้อผลงานวิจัยที่ไม่ได้เขียนเอง แล้วก็มาขอเงินรางวัลที่สูงกว่า จนมีผลงานตีพิมพ์เกินครึ่งร้อยภายในไม่กี่ปี ลองคูณด้วยแสนต่อชิ้น ก็จะรู้ว่าร่ำรวยกันขนาดไหน และก็มีวารสารประเภทนี้ในต่างประเทศที่รู้จักความด้อยพัฒนาแบบนี้เป็นอย่างดี ถึงได้หากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ล่าสุด (9 มกราคม) สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทางกระทรวงจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการผิดจริยธรรมทางวิชาการอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจริงจัง หากพบว่าดำเนินการจริงต้องถือเป็นความผิดและลงโทษอย่างรวดเร็ว
ด้าน ศ. ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า ได้แจ้งย้ำไปยังที่ประชุมอธิการบดีของมหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน และหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ให้ตรวจสอบข้อมูลของบุคลากรอย่างใกล้ชิด ตามแนวทางในการกำกับจริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานวิจัย รวมทั้งการนำผลงานที่ผิดจริยธรรมมาขอตำแหน่งวิชาการ หากตรวจพบประเด็นใดให้ดำเนินการทันทีและป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำในลักษณะนี้อีก
![แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน]()
![แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน]()
![แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน]()
![แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน]()
![แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน แฉอาจารย์ ม. ดัง แอบซื้องานวิจัย ใส่ชื่อเคลมผลงาน]()
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana, ทวิตเตอร์ @manopsi, เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong, เฟซบุ๊ก Pinkaew Laungaramsri, สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในวงการนักวิชาการ และในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย กรณีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2566 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาแฉพฤติกรรมการซื้อขายงานวิจัยโดยไม่ต้องทำจริง โดยมีขายมากมายหลายหัวข้อ แต่ละงานจะเปิดขายสำหรับใส่ชื่อตามลำดับความสำคัญและการมีส่วนร่วม การมีชื่ออยู่ลำดับแรกจะต้องจ่ายสูงกว่าลำดับอื่น ๆ ถัดลงไป เมื่อกระบวนการนี้มีผู้ซื้อรายชื่อครบ งานวิจัยเล่มนี้ก็จะถูกส่งไปตีพิมพ์ ส่งผลให้ผู้ที่จ่ายเงินและมีรายชื่อสามารถนำมาเคลมเป็นผลงานวิชาการของตัวเองได้
อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจสอบจึงพบว่ามีชื่อนักวิจัยไทยปรากฏอยู่ในงานวิจัยประเภทนี้เป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งชื่ออาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ และชื่อของอาจารย์จากวิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่ง เป็นต้น โดยเฉพาะ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ เดิมทีในปี 2562 อาจารย์รายนี้มีงานวิจัยแค่ 1 ชิ้น จากนั้นปี 2563 มีเพิ่มเป็น 40 ชิ้น และในปี 2564 มีเพิ่มถึง 90 ชิ้น ซึ่งคนในวงการวิชาการ ได้แฉเพิ่มว่า การไปซื้อชื่อเป็นผู้แต่งลำดับที่ 1 เสียค่าใช้จ่าย 900 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,000 บาท) แต่อาจารย์สามารถนำงานวิจัยไปเบิกเงินกับมหาวิทยาลัยได้ถึง 120,000 บาท
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผอ.ไบโอเทค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า ธุรกิจที่น่ากลัวที่สุดของสังคมวิจัย คือการที่นักวิจัยไปซื้องานวิจัยที่ตัวเองไม่ได้ทำ เช่น ไปอ่านงานที่คิดว่าอยากมีชื่อตัวเองใน Paper นั้น ๆ แล้วใช้เงินไปซื้อตำแหน่งของการเป็นผู้แต่ง หรือ ผู้นิพนธ์ ในงานวิจัย ชื่อแรกก็จะแพงหน่อย ชื่อกลาง ๆ ก็จะถูกหน่อย เมื่อได้จำนวนผู้แต่งครบแล้ว งานวิจัยผี ๆ นี้ก็ส่งไปตีพิมพ์ โดยคนที่จ่ายเงินเป็นผู้แต่งก็จะไปสามารถ เคลมผลงานทางวิชาการ หรือ ไปใช้ขอทุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อถอนทุนคืนได้
ข้อสังเกตว่าอาจจะเข้าข่ายนั้น งานวิจัยที่ออกมาเหล่านี้ จะมีผู้แต่งแบบหลากหลายสถาบัน หลายประเทศ ซึ่งแต่ละคนไม่เคยเห็นหน้า หรือรู้จักกัน พฤติกรรมแบบนี้ไม่แตกต่างจากการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในวงการราชการ ที่เสียใจคือ เห็นชื่อนักวิจัยของไทยในงานแบบนี้ด้วย
ด้าน ศ. นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ร่วมตีแผ่เรื่องนี้ผ่านทวิตเตอร์ @manopsi ความว่า "เรื่องฉาวของวงการวิจัยและมหาวิทยาลัยตอนนี้ คือการขุดพบว่า อาจารย์บางคนมีผลงานตีพิมพ์ มี ชื่ออ้างอิงในงานวิจัย (Citation) และ จำนวนผลงานวิจัย (H-index) สูงเพราะไปซื้อการเป็นเจ้าของงานวิจัย (Authorship) ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากระดับเดียวกับ ผลการวิจัยที่ไม่มีจริง (Data Fabrication) และ การลอกเลียนงานวิจัย (Plagiarism) ซึ่ง ผู้บริหารต้องจัดการครับ สิ่งนี้ถือเป็นตราบาปรุนแรง (Unforgivable sin) ในวงการวิจัย"
ขณะที่ รศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ใจความว่า มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนหนึ่ง ไปตีพิมพ์ในเรื่องของวัสดุนาโนเป็นชื่อที่หนึ่งโดยจ่ายค่าตีพิมพ์ไป 30,000 บาท โดยที่สายงานอยู่เทคนิคการแพทย์ ไม่ใช่วัสดุศาสตร์ แล้วนำบทความที่ตีพิมพ์นั้นมาเบิกกับมหาวิทยาลัยจำนวน 120,000 บาท เรื่องนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องสืบสวนสอบสวนครับ เพราะตอนนี้มีเว็บไซต์ที่ขายการเอาชื่อไปแปะในวารสารวิชาการ กำลังเป็นประเด็นอยู่
นอกจากนี้ รศ. ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Pinkaew Laungaramsri ใจความว่า หากเข้าไปค้นหาชื่อของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่งที่กำลังเป็นที่พูดถึง จะมีประวัติการตีพิมพ์บทความภาษาอังกฤษใน Academia EDU และ Loop.Frontiersin.org จะพบเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งขึ้น เพราะชื่อของเขาที่ปรากฏร่วมกับคนอื่นในวารสารต่าง ๆ นั้น ไม่ได้มีแค่บทความข้ามศาสตร์เกี่ยวกับวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังมีบทความเกี่ยวกับเกษตร คริปโต เศรษฐศาสตร์การเงิน บางบทความก็เป็นการวิจัยในรัสเซีย ในอินโดนีเซีย ในโลกมุสลิม ข้อมูลเหล่านี้แสดงว่าทำมานานแล้ว และน่าแปลกใจว่าไม่มีอับอาย
กรณีเช่นนี้ อยากให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจัดการ เพราะถือเป็นการหากินจากการนำเงินมหาวิทยาลัยไปซื้อผลงานวิจัยที่ไม่ได้เขียนเอง แล้วก็มาขอเงินรางวัลที่สูงกว่า จนมีผลงานตีพิมพ์เกินครึ่งร้อยภายในไม่กี่ปี ลองคูณด้วยแสนต่อชิ้น ก็จะรู้ว่าร่ำรวยกันขนาดไหน และก็มีวารสารประเภทนี้ในต่างประเทศที่รู้จักความด้อยพัฒนาแบบนี้เป็นอย่างดี ถึงได้หากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ล่าสุด (9 มกราคม) สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทางกระทรวงจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการผิดจริยธรรมทางวิชาการอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจริงจัง หากพบว่าดำเนินการจริงต้องถือเป็นความผิดและลงโทษอย่างรวดเร็ว
ด้าน ศ. ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า ได้แจ้งย้ำไปยังที่ประชุมอธิการบดีของมหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน และหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ให้ตรวจสอบข้อมูลของบุคลากรอย่างใกล้ชิด ตามแนวทางในการกำกับจริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานวิจัย รวมทั้งการนำผลงานที่ผิดจริยธรรมมาขอตำแหน่งวิชาการ หากตรวจพบประเด็นใดให้ดำเนินการทันทีและป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำในลักษณะนี้อีก





ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana, ทวิตเตอร์ @manopsi, เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong, เฟซบุ๊ก Pinkaew Laungaramsri, สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์