x close

เฮียหมู เล่านาทีถูกลูก-สะใภ้ ขังห้องลูกกรง 2x2 - ใช้คีมบีบปาก ฮุบสมบัติ 100 ล้าน

          เฮียหมู เดินหน้าฟ้องเอาผิดลูกชาย-ลูกสะใภ้-พ่อตา-แม่ยาย หลังถูกกักขังทรมาน ใช้คีมบีบปากบังคับกินยา ก่อนโอนเงินฮุบสมบัติ 100 ล้าน แต่พร้อมให้อภัยหากลูกชายกลับใจ


          จากกรณีที่เกิดเหตุสะเทือนใจสังคม ลูกชายกับลูกสะใภ้วางยาสลบพ่อกับแม่ เพื่อทำให้เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ก่อนที่จะยื่นศาลขอจัดการมรดก โยกย้ายทรัพย์สินไปมากมายเพื่อฮุบสมบัติกว่า 100 ล้านบาท ถึงแม้ญาติจะมาช่วยก็ยังไม่สำเร็จ จนผ่านไป 2 ปี กลับมีเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่า เมื่อฝั่งแม่เสียชีวิตอย่างปริศนา เหลือแต่พ่อเพียงคนเดียว

อ่านข่าว : ชีวิตยิ่งกว่าละคร พ่อแม่ถูกลูกชาย-สะใภ้ วางยาสลบหมูขัง 2 ปี ฮุบเงิน 65 ล้าน หนีมาได้ยิ่งช้ำ 

อ่านข่าว : ไขปริศนาพ่อแม่ถูกลูกวางยาสลบ ทำไมเนียนถึง 2 ปีไม่มีใครสงสัย เพียงแค่รูปรูปเดียว



          วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำกำลังเข้าค้นทั้งหมด 3 จุดหลัก ๆ ตามคำให้การของเฮียหมู ผู้เสียหาย เปิดเผยกับทีมข่าวว่า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ตนจับได้ว่าลูกสะใภ้ขโมยเงิน จึงมีการต่อว่าทำให้ลูกสะใภ้ไม่พอใจ เพราะหลังจากนั้นตนและภรรยา มีอาการเปลี่ยนไป ลิ้นแข็ง ร่างกายอ่อนแรง จนภรรยาถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณว่าจะล้มป่วย จึงพยายามติดต่อหาหลานสาวให้เข้ามาช่วยพาออกไป เพราะเชื่อว่าถูกลูกสะใภ้วางยาพิษ


          โดยติดต่อผ่านการเขียนจดหมายฝากไปบุรุษไปรษณีย์ เนื้อหาระบุพิกัดบ้านของลูกสะใภ้และบอกช่วงเวลาที่ให้เข้ามาหลัง 9 โมง เพราะลูกชายและลูกสะใภ้จะออกไปขายของ ขอให้รีบเข้ามาช่วย ถ้าถูกจับได้จะถูกทรมานอีก หลังจากหลานเข้าไปช่วยออกมาจากบ้านหลังแรกได้ ก็พาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งในคืนเดียวกันลูกชายและลูกสะใภ้ก็มาเอาตัวออกจากโรงพยาบาลไปขังไว้อีกจุดหนึ่ง โดยมีการปิดประตูหน้าต่างใช้สังกะสีตอกปิดอีกชั้น ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ตรงหน้าต่างทำเป็นลูกกรง คล้ายห้องขัง มีเพียงช่องเล็ก ๆ สี่เหลี่ยม ส่งถาดข้าวถาดน้ำ กับข้าวส่วนใหญ่ก็เป็นมาม่าและปลากระป๋อง น้ำดื่มเป็นน้ำที่กรอกมาจากน้ำประปา


          ข้าวของเครื่องใช้มีเพียงแค่ผ้า 1 ผืน และหมอน 1 ใบ ถูกกักขังอยู่ในนั้น อาบน้ำ 3 เดือนครั้ง ที่สำคัญภายในห้องไม่ได้มีห้องน้ำสำหรับทำธุระ ต้องใช้เก้าอี้ 4 ขา เอาถุงดำใส่เข้าไปแล้วนั่งขับถ่าย หลังจากที่ทำธุระเสร็จก็จะมัดปากถุงและกองเอาไว้ในห้อง ซึ่งจะมีแม่บ้านใส่ชุด PPE มาเก็บเดือนละ 1 ครั้ง บางทีก็กองเต็มห้องส่งกลิ่นคลุ้ง ตลอดที่ถูกขังอยู่ ช่วงปี 2563 ลูกชายและลูกสะใภ้ รวมทั้งพ่อตาแม่ยาย จะมีการเอายาบางอย่างมาให้กิน เป็นยาน้ำสีชมพูใส่ในไซลิงก์ 200 ซี.ซี. บีบบังคับให้ตนและภรรยากิน หากไม่ยอมกินก็จะผสมคลุกกับข้าว ซึ่งข้าวในจุดที่โดนยาจะกลายเป็นสีดำ จึงไม่ยอมกิน แต่สุดท้ายก็ถูกบีบบังคับ ใช้คีมบีบปาก และฉีดยาใส่ปาก

          บางครั้งตัวของแม่ลูกสะใภ้ก็จะเอาไฟฟ้าช็อต ใช้ไม้เบสบอลทุบตี เพื่อให้ตนและภรรยายอมกิน ยาดังกล่าวหลังจากที่กินแล้วจะสะลึมสะลือ มือและขาตก ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ บางทีหลับไป 2-3 วัน หลังจากตื่นขึ้นมาจะพูดสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง พูดไม่มีเสียง เสมือนเป็นคนที่ไม่มีสติ จนกระทั่งช่วงต้นปี 2565 ลูกชายและลูกสะใภ้ได้มีการทำห้องขึ้นมาใหม่ แต่เป็นห้องขนาดเล็กลง 2x2 เมตร แต่ก็มีลักษณะสภาพห้องเหมือนเดิม ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน หน้าต่างทำเป็นกรง สำหรับส่งข้าวส่งน้ำ แต่ที่ทำขึ้น มีเพิ่มเป็น 2 ห้อง โดยแยกให้ตนอยู่ห้องหนึ่ง แล้วเอาภรรยาไปอยู่อีกห้องหนึ่ง


          ตนก็ได้แต่ตะโกนคุยกับภรรยา เพราะไม่สามารถที่จะอยู่ใกล้ชิดหรือคุยกันได้เหมือนเดิม ทำให้ภรรยาของตนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ตายช่วงกลางปี 2565 โดยไม่มีใครบอก ตนเพิ่งมารู้ตอนที่หลังจากหนีออกมาได้ ทราบภายหลังลูกชายสารภาพว่าแม่ตายแล้ว และเอาแม่ไปทำพิธีให้เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ตนก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ภรรยาตนตายทั้งคน ตนเป็นสามีจะไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไรเลย และเชื่อว่าที่ภรรยาเสียชีวิตมาจากการวางแผนฆ่าด้วยยาพิษของพ่อตา แม่ยาย และลูกสะใภ้

          ตลอดช่วงที่ถูกคุมขังหรือกักขังเอาไว้ ตนไม่มีมือถือ ไม่มีช่องทางไหนติดต่อกับใครได้ และที่สำคัญมือถือของตนมีแอปพลิเคชัน Banking ที่สามารถโอนเงินได้ ทำให้ลูกชายมีการโอนเงินออกจากบัญชีที่เก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิต หมดไปเกือบ 70 ล้านบาท และที่สำคัญลูกชายก็ฉวยโอกาสช่วงที่ตนไร้สติแอบปั๊มรอยนิ้วมือ ขายทรัพย์สินหรือที่ดิน เวลาใครถามหาตน ลูกชายมักจะบอกว่า ตนเป็นโรคประสาท สติไม่สมประกอบ และสร้างภาพลงเฟซบุ๊กว่าดูแลพ่อเป็นอย่างดี


          กระทั่งช่วงปลายปี 2565 ลูกชายคงกลับใจและคิดได้ จึงพาตนหนีออกมาจากบ้านสะใภ้ที่ถูกขังไว้ พอออกมาได้ ตนเริ่มมีสติไม่ถูกวางยาพิษ จึงไปตรวจสอบทรัพย์สินรวมถึงเงินในธนาคารพบว่าถูกโอนไปเกือบ 100 ล้านบาท จึงตั้งทนายความฟ้องเอาผิดทั้งหมดในข้อหาลักทรัพย์, กักขังหน่วงเหนี่ยว และเพิกถอนเกี่ยวกับสิทธิ์การดูแลหรือรับมรดก

          ทั้งนี้ตนยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะพ่อตา แม่ยาย และลูกสะใภ้ ส่วนลูกชายตนพร้อมจะให้อภัยหากลูกชายกลับใจมาร่วมมือและช่วยเป็นพยานให้ สำหรับเรื่องทรัพย์สินนั้นตนก็ทำใจอยู่บ้างว่า อาจจะไม่ได้คืนทั้งหมด เนื่องจากลูกชายและภรรยาคงใช้เงินไปหมดแล้ว


          ขณะที่ พล.ต.ต. นเรวิช สุคนธวิช ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดี พร้อมบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวซึ่งมีกฎหมายกำกับดูแลอยู่ การทำคดีจึงต้องมีความรอบคอบ และเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งต้องใช้ในหลักฐานวิทยาศาสตร์ในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะกรณีการเสียชีวิตของภรรยา มีการเคลื่อนย้ายศพก่อนที่ตำรวจจะไปถึง และหลังตำรวจลงพื้นที่เก็บหลักฐาน ยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้การฆาตกรรม เพราะได้รับแจ้งว่าเป็นการเสียชีวิตโดยการผูกคอตาย จึงต้องไปดูจุดที่ผูกคอว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหน

          ส่วนภายในกระเพาะของผู้เสียชีวิตพบสารตกค้าง เป็นสารจำพวกในยารักษาโรคซึมเศร้าและคาเฟอีน ซึ่งฝ่ายผู้เป็นพ่อเคยมาแจ้งความแล้ว 2 ครั้ง แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ ส่วนวันนี้จะมีการสอบปากคำผู้เป็นพ่อเพิ่มเติม เพื่อยืนยันชี้จุดและสถานที่ที่อ้างว่าเกิดเหตุกักขัง โดยตำรวจจะขออำนาจศาลเข้าทำการตรวจค้น หลัก ๆ 3 จุด คือบ้านพ่อ และอีก 2 จุด คือบ้านพ่อตาและแม่ยาย ในพื้นที่ อ.เมือง ซึ่งต้องขอศาลออกหมายค้น การสอบปากคำตอนนี้ตำรวจสอบปากคำไปแล้วกว่า 10 ปาก ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกมาสอบปากคำ ส่วนเอกสารที่ระบุว่า มีอาการจิตเวช เป็นการวิเคราะห์อาการหลังจากที่ถูกนำตัวไปกักขัง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เฮียหมู เล่านาทีถูกลูก-สะใภ้ ขังห้องลูกกรง 2x2 - ใช้คีมบีบปาก ฮุบสมบัติ 100 ล้าน อัปเดตล่าสุด 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 12:30:16 25,878 อ่าน
TOP