คืบหน้าคดีหญิงวัย 37 ผ่าตัดหน้าอกแล้วเสียชีวิต ตำรวจตรวจสอบพบคลินิกไม่มีใบขออนุญาตเป็นห้องผ่าตัดใหญ่ ต้องออกคำสั่งปิดสถานพยาบาล ญาติเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท
จากกรณีมีหญิงรายหนึ่งวัย 37 ปี ไปผ่าตัดเสริมหน้าอก โดยหลังผ่าตัดเสร็จทางคลินิกก็ให้กลับบ้านไปพัก ผ่านไปไม่ถึง 6 ชั่วโมง ปรากฏว่าเธอมีอาการช็อก ธาตุไฟแตก และเสียชีวิต ด้านครอบครัวรู้สึกคาใจจนต้องมาร้องขอความเป็นธรรม
อ่านข่าว : สาวเพิ่งทำหน้าอกเสร็จ กลับมาบ้านตาย กู้ภัยช่วยปั๊มหัวใจไม่ได้ ญาติติดใจเกิดอะไรขึ้น
เปิดไทม์ไลน์ผู้ตายบินกลับจากต่างประเทศมาผ่าตัดที่ไทย
วันที่ 29 มีนาคม 2566 เรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า จากการสอบถาม นางสาวจตุพร อายุ 30 ปี น้องสาวของผู้ตาย ได้ไล่เรียงไทม์ไลน์เอาไว้ดังนี้
- 5 มีนาคม 2566 ผู้ตายเริ่มติดต่อพูดคุยกับคลินิกผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก โดยผู้ตายเลือกใช้ซิลิโคนรุ่น Motiva silk ราคา 71,500 บาท และมีค่าตรวจเลือดเพิ่มอีก 2,000 บาท ซึ่งทางผู้ตายได้จ่ายเงินมัดจำก่อน 5,000 บาท
- 20 มีนาคม 2566 ผู้ตายบินกลับมาจากประเทศบาห์เรน
- 23 มีนาคม 2566 ผู้ตายมีนัดผ่าตัดเสริมหน้าอกที่คลินิกแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
- เวลา 21.00 น. ผู้ตายเริ่มทำการผ่าตัดใช้เวลา 2 ชั่วโมง
- เวลา 23.00 น. น้องชายเดินทางไปรับผู้ตายกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ซึ่งผู้ตายขอนอนที่โซฟาข้างล่าง เพราะยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือมึนงงด้วยฤทธิ์ยาสลบ กลัวว่าขึ้นลงบนบ้านจะล้มหรือจะเป็นอะไรไป โดยผู้ตายจะบ่นอยู่ตลอดว่า มีอาการปวดตามร่างกายและรู้สึกเพลีย มีอาการไอร่วมด้วย
- เวลา 04.00 น. น้องสาวลงมาดู พบว่าผู้ตายนอนแน่นิ่งอยู่ที่โซฟาและมีธาตุไฟแตก ฉี่รดที่นอน พยายามปลุกก็ไม่ตื่น จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยปั๊มหัวใจ แต่ไม่สำเร็จ
ญาติติดใจสาเหตุการตาย เรียกร้องให้ทางคลินิกรับผิดชอบ
- ญาตินำร่างของผู้ตายกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดใน จ.นครราชสีมา และตัดสินใจว่าจะยังไม่เผาศพ เนื่องจากติดใจสาเหตุการตายเชื่อว่ามาจากการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก เนื่องจากปกติผู้ตายดูร่าเริง สดใส เป็นคนแข็งแรง ไม่เคยมีโรคประจำตัวมาก่อน และในผลการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ แพทย์ระบุในหนังสือรับรองว่า พบเลือดออกในช่องอกซ้าย ทำให้คุณย่าต้องการเรียกร้องความรับผิดชอบจากทางคลินิก
- ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าคลินิกดังกล่าว พบว่าช่วงเวลาประมาณ 23.13 น. หลังจากผ่าตัดเสร็จ ญาติของผู้ตายได้ขับรถมารับที่หน้าคลินิก จากนั้นก็ขับกลับมาบ้านที่อำเภอวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ถึงประมาณเที่ยงคืน ซึ่งไม่ได้มีการแวะที่ไหนก่อน จากนั้นผู้ตายก็เข้ามานอนพักที่โซฟาจนกระทั่งเสียชีวิตภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ชั่วโมง หลังจากการผ่าตัด
- ทางคลินิกได้ให้ตัวแทนติดต่อมายังครอบครัวของผู้ตาย บอกว่าต้องการเจรจา ขอทราบโรงพักที่รับผิดชอบคดีนี้ เพื่อที่จะเข้าไปพูดคุยไกล่เกลี่ย และยินดีรับผิดชอบ หากผลการชันสูตรอย่างละเอียดระบุว่า มาจากเลือดออกในช่องอกจริง ซึ่งการชันสูตรรอบสองอย่างละเอียด ต้องรอผลอย่างน้อย 45 วัน ทางคลินิกยืนยันว่าจะรับผิดชอบ แต่ขอรอผลการชันสูตรอย่างละเอียดก่อน ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน
- นอกจากตัวแทนของคลินิก ยังมี นายสุนทร ซึ่งเป็นพ่อของคุณหมอที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรม เดินทางมาที่ สภ.วังน้อย ด้วย โดย นายสุนทร บอกว่า ลูกชายเป็นหมอผ่าตัดศัลยกรรมที่เรียนมาเฉพาะทางโดยตรง ที่ผ่านมาลูกชายทำหน้าที่ปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัดและยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น โดยวันนี้เดินทางมาเพื่อต้องการพูดคุยกับทางผู้เสียหายและทางครอบครัวก็ยินดีรับผิดชอบตามหลักมนุษยธรรม
ทางคลินิกแสดงความรับผิดชอบ ไม่มีการปฏิเสธ
นางสาวจตุพร น้องสาวของผู้ตาย เปิดเผยภายหลังการเจรจาไกล่เกลี่ยว่า บรรยากาศการพูดคุยกับทางฝั่งตัวแทนคลินิกและพ่อของหมอที่ทำการผ่าตัด แสดงออกถึงความรับผิดชอบดี ไม่ได้มีการปฏิเสธ เพียงแต่ตามขั้นตอนของกฎหมาย ต้องรอเอกสารใบชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ทางครอบครัว จึงขอเรียกค่าเสียหายจากทางคลินิก เป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท โดยคำนวณจากรายได้ของพี่สาว ซึ่งทำงานที่ประเทศบาห์เรน รายได้เฉลี่ยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหากพี่สาวยังมีชีวิตอยู่สามารถหาเงินได้มากกว่า 10 ล้านบาท และมองว่าเงินจำนวนนี้ ไม่สามารถแลกกับชีวิตของพี่สาวได้
เบื้องต้นทางคลินิกได้มอบเงินเยียวยาเป็นค่าปลงศพมาให้ผู้ตาย 100,000 บาทแล้ว แต่เป็นเงินช่วยเหลือ ไม่ใช่เงินค่าเสียหายที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ต้องมีการเจรจาพูดคุยกันต่อ
นายสุพล นิลวิเชียร ตัวแทนคลินิก เปิดเผยว่า หลังจากเจรจาไกล่เกลี่ยทางผู้เสียหายเรียกค่าเสียหายเยียวยาเป็นเงิน 10 ล้านบาท ส่วนตัวก็มองว่าเป็นตัวเลขที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม จะนำข้อเรียกร้องตรงนี้ไปปรึกษากับทางเจ้าของคลินิกและคุณหมอที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรม
ส่วนพ่อของคุณหมอที่เป็นเจ้าของเคสและทำการผ่าตัด ศัลยกรรมเสริมหน้าอกให้กับผู้ตาย เปิดเผยว่า จากการเจรจาไกล่เกลี่ยครอบครัวของผู้ตาย ไม่ได้มีทีท่าเกรี้ยวกราดหรือไม่พอใจ บรรยากาศการพูดคุยเป็นการตกลงและเสนอข้อเรียกร้องต่าง ๆ ซึ่งวันนี้ทางฝั่งของตัวเองเดินทางมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและยินดีรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนจะสรุปตกลงกันที่ตัวเลขเท่าไร ต้องขอกลับไปปรึกษากันก่อน
ตำรวจเข้าตรวจสอบคลินิก เตรียมออกคำสั่งปิดสถานพยาบาล
พ.ต.อ. อภิศักดิ์ โชติกเสถียร ผกก.สภ.ปากเกร็ด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จ.นนทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานพยาบาลแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด พบว่าคลินิกดังกล่าวเป็นลักษณะตึกแถวอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ตามที่ญาติผู้เสียชีวิตกล่าวอ้างว่าผู้เสียชีวิตได้มาเสริมหน้าอกที่สถานพยาบาลแห่งนี้ ทำให้เสียชีวิต
โดยได้มีการตรวจเอกสารใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาล ตรวจคุณภาพซิลิโคนที่ใช้ พร้อมทั้งตรวจห้องผ่าตัดที่ชั้นสอง นอกจากนี้ยังตรวจยาที่ให้แก่คนไข้ระหว่างที่อยู่ที่สถานพยาบาลและยาที่จ่ายให้กับคนไข้ รวมถึงตรวจระเบียนผู้ป่วย สำหรับแพทย์ที่ทำการผ่าตัด ทางเจ้าหน้าที่ได้เรียกให้เดินทางเข้าพบเพื่อสอบถามขั้นตอนในการผ่าตัด ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางมา
แต่เนื่องจากในวานนี้ (28 มีนาคม) คลินิกได้ปิดทำการ มีแต่เพียงพนักงานดูแลอยู่เพียงลำพัง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นัดหมายให้เดินทางเข้าพบเพื่อสอบถามขั้นตอนในการผ่าตัดต่อไป ในวันที่ 31 มีนาคม นี้ เวลา 10.00 น. พร้อมกับนัดแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดกับเจ้าของผู้ประกอบการมาเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน
ด้าน นายชาตรี พินใย เจ้าหน้าที่กองกฎหมายสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การที่จะเปิดคลินิกต้องขออนุญาตเป็นห้องผ่าตัดใหญ่ และต้องมีวิสัญญีแพทย์ ถ้าไม่มีแบบนี้ ทางตนและทาง สสจ. ต้องดำเนินคดี เพราะไม่ได้รับใบอนุญาต และต้องออกคำสั่งปิดสถานพยาบาล ตามจังหวัดสั่งการ ส่วนเรื่องประมาทเป็นเรื่องของผู้เสียหายดำเนินการ
