ชาวบ้านฮือฮา ! เจอน้ำบาดาลที่สุโขทัย รสซ่าคล้ายโซดา หวังเป็นน้ำแร่ระดับโลก

 

          ชาวบ้านขุดบ่อบาดาลที่ จ.สุโขทัย เจอน้ำพุ่งขึ้นมา ชิมดูรสซ่าคล้ายโซดา ฮือฮา ! ลุ้นให้เป็นน้ำแร่คุณภาพเทียบระดับโลก - อ.เจษฎา เตือนไม่ควรรีบนำมาดื่ม

น้ำผุด
 ภาพจาก โหนกระแส

          วันที่ 7 เมษายน 2566 ไบรท์ทีวี รายงานว่า ชาวบ้านพื้นที่ จ.สุโขทัย ได้ทำการขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อทำการเกษตรบริเวณสวนหลังบ้าน ปรากฏว่าเจอน้ำมีรสชาติคล้ายโซดา มีความซ่าติดลิ้น ไร้กลิ่น สามารถดื่มกินได้ จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นน้ำแร่คุณภาพเทียบระดับโลกเหมือนกับที่พบในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2564 จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ

          พ.ท. คะเนตร รักวุ่น อายุ 62 ปี ข้าราชการบำนาญสังกัด กอ.รมน. จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เปิดเผยว่า เมื่อ 2 เดือนก่อน ได้ว่าจ้างช่างให้มาขุดเจาะบ่อบาดาลตรงทุ่งนาติดกับสวนผลไม้หลังบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากประปาหมู่บ้านแค่ 200 เมตร โดยขุดเจาะลึกลงไป 70 เมตร ก็เจอน้ำพุ่งขึ้นมา แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าน้ำมีรสซ่าคล้ายโซดา

          กระทั่งได้จ้างช่างมาติดตั้งปั๊มน้ำโซลาร์เซลล์ แล้วกลุ่มช่างได้ลองดื่มน้ำจากบ่อที่เพิ่งขุดเจาะ จึงรู้ว่ามีรสชาติแปลกคล้ายโซดาและซ่าติดลิ้น ไร้กลิ่นใด ๆ พอลองเอาไปรดต้นไม้ ก็พบว่าต้นไม้ใบหญ้าจะมีสีเขียวเข้มกว่าปกติ เหมือนกับว่าในน้ำมีแร่ธาตุบำรุง

ชาวบ้านฮือฮา มีความหวังเป็นน้ำแร่เทียบระดับโลกแบบที่พบใน จ.กาญจนบุรี


          ด้าน นายควร คำศรี รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาเชิงคีรี, นายสมหวัง โสภา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.นาเชิงคีรี และ นายหมอน หนองหลวง ช่างติดตั้งปั๊มน้ำโซลาร์เซลล์ รวมทั้งชาวบ้านที่มาร่วมพิสูจน์ด้วยกันครั้งนี้ บอกว่าได้ลองดื่มน้ำแล้ว ปรากฏว่ามีรสซ่าคล้ายโซดาจริง ๆ ยิ่งน้ำออกสีขุ่นก็จะยิ่งซ่ามาก และไม่มีกลิ่นสนิมหรือกลิ่นโคลน

          ทำเอาชาวบ้านฮือฮาและแอบลุ้นด้วยว่า นี่อาจจะเป็นน้ำแร่คุณภาพเทียบระดับโลก ราคาขวดละ 3,000 บาท เหมือนกับที่เจอในพื้นที่ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี จึงอยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเข้ามาพิสูจน์ตรวจสอบว่าแท้จริงคืออะไร มีสารปนเปื้อนและเป็นพิษหรือไม่ ให้หายข้องใจกันไปเลย


อ. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ให้ข้อมูลเรื่องน้ำบาดาลโซดา - เตือนไม่ควรรีบนำน้ำมาบริโภค


          รศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ มีการโพสต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โดยยกตัวอย่างน้ำบาดาลที่พบในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี มาเทียบกับน้ำบาดาลที่พบใน จ.สุโขทัย ดังนี้ ...

          บ่อน้ำพุโซดาในพื้นที่ ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี เป็นน้ำบาดาลใต้ดินที่เกิดอยู่ในชั้นดิน กรวด ทราย หรือหิน ซึ่งอยู่ลึกจากผิวดินเกินความลึกที่รัฐมนตรีกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่จะกำหนดความลึกน้อยกว่าสิบเมตรมิได้ (พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ.2520)

          น้ำบาดาลจะถูกกักเก็บอยู่ภายในช่องว่างระหว่างเม็ดตะกอน หรือรอยแตกของชั้นหิน โดยจะมีชั้นกั้นน้ำปิดทับอยู่ด้านบนหรือไม่ก็ได้ ซึ่งเรียกส่วนที่เก็บน้ำและกั้นน้ำรวมกันว่าชั้นน้ำบาดาล สามารถจำแนกชนิดของชั้นน้ำบาดาลที่สำคัญ ได้แก่ ชั้นน้ำบาดาลไร้แรงดัน และชั้นน้ำบาดาลมีแรงดัน

          - ชั้นน้ำบาดาลไร้แรงดัน หมายถึง ชั้นที่มีน้ำบาดาลกักเก็บอยู่โดยไม่มีชั้นหินกั้นน้ำปิดทับอยู่ด้านบน เป็นชั้นน้ำบาดาลที่อยู่ถัดจากผิวดินลงไปโดยมีระดับน้ำบาดาลอยู่บนสุดของชั้นน้ำบาดาล

          - ชั้นน้ำบาดาลมีแรงดัน หมายถึง ชั้นน้ำบาดาลที่มีชั้นกั้นน้ำปิดอยู่ด้านบนส่งผลให้น้ำบาดาลอยู่ภายใต้แรงดันที่มากกว่าแรงดันของบรรยากาศ ซึ่งพบว่าระดับน้ำบาดาลอยู่สูงกว่าระดับความลึกของชั้นน้ำบาดาล ซึ่งเรียกว่าระดับแรงดันน้ำ

          ในกรณีที่มีการเจาะบ่อน้ำบาดาลในตำแหน่งที่เป็นชั้นน้ำบาดาลมีแรงดันและมีระดับแรงดันน้ำสูงกว่าระดับภูมิประเทศ (พื้นดิน) น้ำในบ่อน้ำบาดาลก็จะพุ่งขึ้นมาโดยไม่ต้องมีการสูบ เรียกว่า บ่อน้ำบาดาลพุ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดน้ำบาดาลพุในพื้นที่ตำบลห้วยกระเจา อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี

          - น้ำบาดาลพุ ในพื้นที่ ต.ห้วยกระเจา เกิดจากการเจาะบ่อน้ำบาดาลในชั้นน้ำบาดาลมีแรงดันและมีระดับแรงดันน้ำสูงกว่าระดับพื้นดิน อีกทั้งน้ำบาดาลได้รับความร้อนจากชั้นหินแกรนิตที่วางตัวอยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้น้ำบาดาลมีอุณหภูมิสูงขึ้น และไหลผ่านชั้นหินปูนยุคออร์โดวิเชียนแล้วแทรกดันขึ้นมาตามรอยแตกของหินแปรยุคไซลูเรียน-ดีโวเนียน ผ่านบ่อน้ำบาดาลขึ้นสู่บนผิวดินที่พบเป็นลักษณะของน้ำที่พุ่งสูงขึ้นจากปากบ่อ อีกทั้งยังพบว่าน้ำที่ออกจากบ่อน้ำบาดาลมีลักษณะซ่าคล้ายโซดา หรือที่เรียกกันว่า น้ำบาดาลโซดา

          - น้ำบาดาลโซดา เกิดจากน้ำบาดาลที่มีอุณหภูมิสูงไหลผ่านชั้นหินปูนยุคออร์โดวิเชียนที่มีองค์ประกอบเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) เมื่อหินปูนได้รับความร้อนและเกิดปฏิกิริยาการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมาและสะสมอยู่ในน้ำบาดาล ทำให้น้ำบาดาลพุในบริเวณนี้มีความซ่าคล้ายกับโซดา แต่หากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ในน้ำลดลง ความซ่าก็จะลดลงเช่นกัน ซึ่งคล้ายกับการเปิดฝาน้ำโซดาหรือน้ำอัดลมแล้วตั้งทิ้งไว้ ความซ่าก็จะลดลง

          ดังนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่า น้ำบาดาลโซดาที่สุโขทัย อาจจะมีสารเคมีต่าง ๆ ในน้ำที่เป็นลักษณะเดียวกัน คือ น้ำบาดาลนี้อาจจะไหลผ่านชั้นหินปูนที่มีองค์ประกอบเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) แล้วเกิดปฏิกิริยาคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา และสะสมอยู่ในน้ำบาดาล ทำให้มีความซ่าคล้ายกับโซดา ซึ่งถ้าเอามาทิ้งเอาไว้ ก็จะลดความซ่าลงไป

          ส่วนที่ว่าจะนำไปใช้เป็น "น้ำแร่" สำหรับดื่มบริโภคได้หรือไม่ และจะมีราคาค่างวดเท่าไร คงต้องขึ้นกับผลการวิเคราะห์ถึงปริมาณแร่ธาตุและสารปนเปื้อนต่าง ๆ ในนั้น ถ้าเกิดมีสารเคมีที่เป็นอันตรายปนเปื้อนอยู่ (มีสิทธิสูง เพราะอยู่ในพื้นที่การเกษตรด้วย) ก็ไม่ควรนำมาบริโภคเด็ดขาด


ขอบคุณข้อมูลจาก ไบรท์ทีวี, เฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ชาวบ้านฮือฮา ! เจอน้ำบาดาลที่สุโขทัย รสซ่าคล้ายโซดา หวังเป็นน้ำแร่ระดับโลก อัปเดตล่าสุด 10 เมษายน 2566 เวลา 18:01:59 8,247 อ่าน
TOP
x close