ส.ว.วันชัย ชี้แม้พรรค ก้าวไกล จะได้คะแนนมากสุด แต่ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นรัฐบาล ขึ้นอยู่กับว่ารวมเสียงข้างมากลงตัวหรือไม่
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายวันชัย สอนศิริ
วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 แนวหน้า รายงานว่า นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึง การร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีของสมาชิกวุฒิสภาว่า หากใครสามารถรวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง เราต้องเคารพเสียง ส่วนใหญ่ของประชาชนซึ่งไม่ได้ผิดอะไรไปจากหลักการเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 และในปีนี้
ดังนั้นต้องติดตามกันต่อไปว่าพรรคก้าวไกลซึ่งมีเสียงมาอันดับ 1 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร เป็นข้อตกลงของพรรคการเมืองหรือเป็นมารยาททางการเมือง ที่ใครได้เสียงอันดับ 1 ก็มักจะให้พรรคนั้นเป็นคนประสานในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็พูดเช่นนั้น
ภาพจาก พรรคก้าวไกล
หากเป็นเช่นนี้ก็ถือเป็นภารกิจของพรรคก้าวไกลในการประสานหาความร่วมมือ ว่าสามารถรวมกับภาคการเมืองอื่นได้เกิน 251 เสียง จนกระทั่งถึง 376 หรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าคนได้เสียงอันดับ 1 จะต้องเป็นรัฐบาลเสมอ ซึ่งครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยก็มีเสียงมาอันดับ 1 แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารวมเสียงได้มากโดยหลักการแล้วก็คิดว่าต้องเคารพเสียงตรงนี้
นายวันชัย กล่าวอีกว่า ครั้งนี้พรรคก้าวไกลได้เสียงอันดับ 1 ก็จริง แต่ไม่ได้คะแนนเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เกินกว่า 251 เสียง ก็ต้องดูต่อไปถ้าเขาประสานกับพรรคเพื่อไทยได้อันนี้ก็มีสิทธิ์ได้เกิน 300 คน จริงก็ต้องดูว่าเขาตกลงกันได้หรือเปล่าว่าใครเป็นนายกฯ และการทำนโยบายต่าง ๆ นั้น แจมร่วมกันได้หรือเปล่านั้นเราไม่รู้ เพราะ ส.ว. อยู่ข้างหลัง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายวันชัย สอนศิริ
จากนั้นต้องดูว่าถ้าเขาสามารถรวมกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนาด้วย ถ้าเขาสามารถประสานพรรคการเมืองที่มาจากประชาชนได้ทั้งหมด ผมว่าเขาก็ขาดลอยแทบไม่ต้องใช้เสียง ส.ว. เลยแม้แต่เสียงเดียว ฉะนั้นผมคิดว่าตอนนี้ อย่ามาคิดว่า ส.ว. จะโหวตให้ใครจะโหวตหรือไม่ เพียงแต่ผมจะดูอยู่ต่อไปว่า พรรคก้าวไกลจะสามารถประสานกับทุกพรรคการเมือง ในการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือเปล่า
ข้อมูลจาก แนวหน้า
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายวันชัย สอนศิริ
วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 แนวหน้า รายงานว่า นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึง การร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีของสมาชิกวุฒิสภาว่า หากใครสามารถรวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง เราต้องเคารพเสียง ส่วนใหญ่ของประชาชนซึ่งไม่ได้ผิดอะไรไปจากหลักการเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 และในปีนี้
ดังนั้นต้องติดตามกันต่อไปว่าพรรคก้าวไกลซึ่งมีเสียงมาอันดับ 1 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร เป็นข้อตกลงของพรรคการเมืองหรือเป็นมารยาททางการเมือง ที่ใครได้เสียงอันดับ 1 ก็มักจะให้พรรคนั้นเป็นคนประสานในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็พูดเช่นนั้น
ภาพจาก พรรคก้าวไกล
หากเป็นเช่นนี้ก็ถือเป็นภารกิจของพรรคก้าวไกลในการประสานหาความร่วมมือ ว่าสามารถรวมกับภาคการเมืองอื่นได้เกิน 251 เสียง จนกระทั่งถึง 376 หรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าคนได้เสียงอันดับ 1 จะต้องเป็นรัฐบาลเสมอ ซึ่งครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยก็มีเสียงมาอันดับ 1 แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารวมเสียงได้มากโดยหลักการแล้วก็คิดว่าต้องเคารพเสียงตรงนี้
นายวันชัย กล่าวอีกว่า ครั้งนี้พรรคก้าวไกลได้เสียงอันดับ 1 ก็จริง แต่ไม่ได้คะแนนเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เกินกว่า 251 เสียง ก็ต้องดูต่อไปถ้าเขาประสานกับพรรคเพื่อไทยได้อันนี้ก็มีสิทธิ์ได้เกิน 300 คน จริงก็ต้องดูว่าเขาตกลงกันได้หรือเปล่าว่าใครเป็นนายกฯ และการทำนโยบายต่าง ๆ นั้น แจมร่วมกันได้หรือเปล่านั้นเราไม่รู้ เพราะ ส.ว. อยู่ข้างหลัง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายวันชัย สอนศิริ
จากนั้นต้องดูว่าถ้าเขาสามารถรวมกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนาด้วย ถ้าเขาสามารถประสานพรรคการเมืองที่มาจากประชาชนได้ทั้งหมด ผมว่าเขาก็ขาดลอยแทบไม่ต้องใช้เสียง ส.ว. เลยแม้แต่เสียงเดียว ฉะนั้นผมคิดว่าตอนนี้ อย่ามาคิดว่า ส.ว. จะโหวตให้ใครจะโหวตหรือไม่ เพียงแต่ผมจะดูอยู่ต่อไปว่า พรรคก้าวไกลจะสามารถประสานกับทุกพรรคการเมือง ในการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือเปล่า
ข้อมูลจาก แนวหน้า