หนุ่มน้อยวัย 14 ปวดอัณฑะหนัก ทนอยู่ 3 วันกว่าจะไปหาหมอ เปิดกางเกงดูถึงกับช็อก ทั้งบวมและดำ ผลตรวจเผยเนื้อตายไปแล้ว ทางเลือกเดียวคือตัดทิ้ง

วันที่ 18 ธันวาคม 2566 เว็บไซต์ ETtoday รายงานเรื่องราวชวนเศร้าของนักเรียนชายวัย 14 ปี จากเมืองเกาสง ไต้หวัน ที่อยู่ ๆ ก็มีอาการปวดรุนแรงที่อัณฑะด้านซ้าย จนเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 3 วันเขาก็ทนไม่ไหว ต้องขอให้พ่อพามาพบแพทย์ แต่ไม่คิดเลยว่าอาการปวดที่เผชิญแท้จริงแล้วกลับเป็นสัญญาณอันตราย และการปล่อยทิ้งไว้นานถึง 3 วัน ทำให้เหลือทางเลือกเดียวสำหรับเขา คือการตัดทิ้งเท่านั้น
โดยตอนที่เด็กชายมาถึงโรงพยาบาลอี้ต้า ดร.หวงเว่ยหลุน ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ถึงกับตะลึงไปหลายวินาที เมื่อเด็กชายถอดกางเกงเผยสภาพของลูกอัณฑะฝั่งซ้ายที่บวมและมีก้อนแข็งเหมือนไข่ อัณฑะข้างนี้ยังอยู่ในตำแหน่งที่ยกสูงกว่าอีกข้าง และยังเปลี่ยนสภาพเป็นสีดำทั้งลูก เขาจึงสั่งให้ทำการตรวจอัลตราซาวด์ทันที และต้องช็อกเมื่อพบว่าไม่มีเลือดหมุนเวียนในอัณฑะฝั่งซ้ายเลย
สำหรับอาการของเด็กชายนั้นคือภาวะอัณฑะบิดตัว ซึ่งเกิดจากหลอดนำอสุจิเกิดการบิดตัวจนเลือดไม่ไหลเวียนไปยังอัณฑะฝั่งนี้ นำมาสู่อาการปวดฉับพลัน การที่ปล่อยทิ้งไว้นานไปเช่นนี้เป็นผลให้เกิดอาการเนื้อตายตามมา แม้จะมีการผ่าตัดเร่งด่วนแต่แพทย์ก็ไม่สามารถเก็บอัณฑะข้างนี้ไว้ได้ จำต้องตัดอัณฑะฝั่งซ้ายของเด็กชายไป
ดร.หวงเว่ยหลุน กล่าวว่า เด็กชายได้รับการผ่านำอัณฑะฝั่งซ้ายออก และลงมือรักษาที่ฝั่งขวาเพื่อไม่ให้เกิดการบิดตัวในอนาคต ขณะนี้เด็กชายฟื้นตัวได้ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม และแม้เขาจะเหลืออัณฑะเพียงข้างเดียวไว้ใช้งาน แต่ก็ยังสามารถผลิตสเปิร์มได้ตามปกติ

ผู้ที่มีภาวะนี้จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน หากเลยช่วงเวลา 6 ชั่วโมงทอง ก็ยังเหลือโอกาส 90% ที่จะเก็บอัณฑะไว้ได้ แต่ยิ่งเวลาล่วงเลยไปก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดเนื้อตายมากขึ้น กล่าวคือหากล่วงเลยเวลาไป 24 ชั่วโมง จะเหลือโอกาสแค่ 20% ที่จะสามารถรักษาได้ และเมื่อเกิน 2 วัน โอกาสที่จะรักษามีน้อยกว่า 10%
ดร.หวงเว่ยหลุน ย้ำว่าโรคลักษณะนี้ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้แล้วหายได้เอง และยังยากจะแยกแยะอาการ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนรุนแรง ดังนั้น หากเกิดอาการปวดอัณฑะอย่างผิดปกติ เขาจึงขอให้ประชาชนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้การรักษาล่าช้า
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก ETtoday