เปิดประเด็น Pantip เป็นไปได้ไหม อีก 30 ปีข้างหน้า อาหารจานเดียวริมทางราคาพุ่งถึง 250 บาท งานนี้ความเห็นหลากหลาย กระทั่งมีคนเอาอัตราเงินเฟ้อมาคิดเปอร์เซ็นต์เทียบให้ สรุปน่าจะจบที่ราคาไหน เงินเฟ้อมันน่ากลัวกว่าความจน !
ยุคนี้ข้าวของต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีราคาแพง ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าเดินทาง และค่าอาหารมักจะได้รับผลกระทบมาจากการขึ้นราคาของวัตถุดิบบ้าง
ราคาแก๊สหุงต้มที่ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง
อันเป็นผลจากราคาเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในทุก ๆ ปี และหากจะสังเกตดี ๆ
ราคาค่าอาหารเมื่อ 10 ปีก่อน ที่เราจะได้กินก๋วยเตี๋ยวชามละ 30-40 บาท
แต่ใน 10 ปีนี้ ก๋วยเตี๋ยวข้างทางร้านเดิม แต่ปรับเพิ่มเป็นราคา 50-60
บาทไปแล้ว
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 คุณ LOVE PATONGKO สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีการตั้งประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อกับอาหารจานเดียวข้างทาง ในอีก 30 ปีข้างหน้า มีโอกาสถึงจานละ 250 บาทหรือไม่
โดยจุดที่ทำให้ฉุกคิดกับคำถามนี้ขึ้นมาคือ ถ้า 30 ปีที่แล้ว ราคาข้าวข้างทางราคาจานละ 7-15 บาท ส่วนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40-60 บาท ขึ้นมาประมาณ 5 เท่า ดังนั้นเราจะอนุมานได้หรือไม่ว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า อาหารข้างทางจะราคาไปถึง 200-300 บาทได้หรือไม่ โดยเทียบอัตรา 5 เท่าเหมือนกัน
คนยืนยัน มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ก่อนก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์ วันนี้คือ 50 บาท
ทั้งนี้ หลายคนได้เข้ามาตอบและคาดการณ์ว่า โอกาสที่ร้านอาหารตามข้างทาง จะเพิ่มขึ้นถึงจานละ 250 บาท ในอีก 30 ปีข้างหน้า อาจจะเป็นจริง ในบางพื้นที่เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ราคาอาหารได้กระโดดขึ้นไปถึง 80-150 บาทแล้ว และเมื่อสมัยเกิน 50 ปีมาแล้ว คนรุ่นปู่รุ่นย่า เคยสัมผัสกับประสบการณ์การกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์ แต่ตอนนี้ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาทเป็นอย่างต่ำ
นอกจากนี้ ยังมีคนที่พูดถึงราคาอาหารตามสั่งร้านข้างทาง ว่า เมื่อปี 2538 อาหารตามสั่ง 1 จานคิดราคาที่ 15 บาท, ปี 2542 อาหารตามสั่ง 1 จานคิดราคาที่ 20 บาท ส่วนปี 2567 อาหารตามสั่ง 1 จานคิดราคาที่ 40 บาท ซึ่งเท่ากับว่า เวลาผ่านไปกว่า 25 ปี ราคาอาหารเพิ่มขึ้นเท่าตัว
คำนวณให้เห็นเป็นตัวเลข ราคาอาหารในอีก 30 ปีข้างหน้า จะจบที่เท่าไร เตรียมใจควักแบงก์ร้อยแลกข้าวจานเดียว
ในขณะเดียวกัน คุณ Kingsguard ได้บอกว่า เรื่องอัตราเงินเฟ้อนั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดวิกฤตโลก วิกฤตเศรษฐกิจขึ้นอย่างไรบ้าง สิ่งที่ทำได้คือการมองย้อนกลับไปในอดีต โดยจะเห็นว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2522-2524 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.91% แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522-2564 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 3.69%
ดังนั้น เมื่อลองนำมาคำนวณ โดยให้ปี พ.ศ. 2567 เป็นปีที่ 0 และปี พ.ศ. 2597 เป็นปีที่ 30 และเอาราคาอาหารตามสั่งในปัจจุบันที่มีราคาตั้งแต่ 40-50-60 บาท มาตั้ง และคูณด้วยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 3.69% เข้าไป จะเห็นได้ว่า
- ในปี พ.ศ. 2577 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ราคาอาหารจาก 40 บาท จะเป็นประมาณ 54 บาท, ราคาอาหารจาก 50 บาท จะเป็น 67 บาท และ ราคาอาหารจาก 60 บาท จะเป็น 80 บาท
- ราคาอาหารตามสั่ง 1 จาน จะทะลุเพดานหลักร้อยบาท ในปี พ.ศ. 2585 หรือในอีก 18 ปีข้างหน้า
- และสุดท้ายในปี พ.ศ. 2597 หรืออีก 30 ปีนับจากปัจจุบัน ราคาอาหารจาก 40 บาท จะเป็นประมาณ 97 บาท , ราคาอาหารจาก 50 บาท จะเป็น 121 บาท และ ราคาอาหารจาก 60 บาท จะเป็น 146 บาท
ในขณะเดียวกัน นี่เป็นการคำนวณคร่าว ๆ ว่าอาหารแต่ละปีจะขึ้นเฉลี่ยปี 1-3 บาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาพ่อค้าแม่ค้าขึ้นราคาอาหาร จะขึ้นทีละ 5-10 บาท จากแต่ก่อนไข่ดาวฟองละ 5 บาท ปัจจุบันฟองละ 7-10 บาท ดังนั้นจึงมีความเป็นไปเช่นกันว่า แม้ในอีก 30 ปีข้างหน้า ราคาอาหารจานเดียวอาจจะไม่ถึงจานละ 250 บาท แต่มีโอกาสไปถึงจานละ 200 บาทแน่นอน
อีกมุม ราคาอาหารขึ้น ค่าแรงก็น่าจะขึ้นตาม - ใช้ชีวิตไม่ประมาท มีรายได้เพียงพอกับเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม เรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากเช่นกัน และอยู่ที่ฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลว่าจะสามารถคุมอัตราเงินเฟ้อได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต หากในอีก 30 ปี อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.69% ก็คงได้ราคาตามนี้ แต่หากเกิดเงินเฟ้อรุนแรงแบบตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซูเอลา เงินจะไม่มีค่า ราคาอาหารก็คงผกผันตามไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีคนเสนอความคิดเห็นว่า แม้ว่าราคาอาหารในอีก 30 ปีจะแพงขึ้น แต่ค่าแรงก็น่าจะแพงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งถ้าหากมีอัตรารายได้ขึ้นมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ แบบนี้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ารายได้ขึ้นน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ แบบนี้มีปัญหาแน่นอน มีโอกาสอยู่รอดได้ยาก ยกตัวอย่างก็คือ กลุ่มข้าราชการที่พอเกษียณ รายได้จะเท่าเดิมตลอดไป ไม่ได้เพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อ กลุ่มนี้ถ้าหากมีอายุยืนยาวจะพบเรื่องเงินไม่พอใช้กับค่าครองชีพในบั้นปลาย
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะมาสู้กับเงินเฟ้อในอีก 30 ปีข้างหน้า
คือการที่ต้องมีรายได้อย่างเพียงพอตั้งแต่ตอนนี้ รักษาดูแลสุขภาพให้ดี
ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท จะดีที่สุด