เปิดใจสามี นักการเมืองหญิง สนิทใจภรรยากับพระ ไม่คิดว่าจะโดนสวมเขา ย้อนเอะใจครั้งรับพระเป็นลูกบุญธรรมคนเดียว แต่ฝ่ายหญิงปฏิเสธ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
จากกรณีที่มีข่าวอื้อฉาวระหว่างผู้สมัครเลือกตั้ง สส. กับพระมหา โดยคนใกล้ชิดมีการแฉถึงพฤติกรรมของฝ่ายหญิงกับพระที่ดูจะไม่เหมาะสม ก่อนหน้าก็เคยล็อกห้องอยู่กับพระสองต่อสอง อ้างว่าเข้าไปสวดมนต์ ก่อนจะเกิดเหตุที่สามีจับได้คาหนังคาเขานั้น
วันที่ 11 เมษายน 2567 เพจเฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้ สัมภาษณ์ สามีของนักการเมืองหญิง เปิดใจหลังออกรายการโหนกระแส เล่าว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์ที่จับได้ในคลิป ตนเริ่มระแคะระคายมาไม่ถึงเดือน ตนกลับไปที่บ้าน 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดเจอความผิดปกติที่ห้องนอนที่พระอยู่กับภรรยา ก่อนหน้านี้เวลาไปทำบุญตนก็จะไปกับฝ่ายหญิงตลอด แต่ช่วงหนึ่งตนกลับมากรุงเทพฯ 2-3 สัปดาห์ ก็ยังมีการติดต่อคุยกันและสนับสนุนกันอยู่เสมอ
ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
สาเหตุที่รับพระรูปนี้เป็นบุตรบุญธรรม เกิดจากคำบอกเล่าของภรรยาที่บอกว่า พระรูปนี้พ่อแม่ท่านแยกทางกัน ก็เหมือนว่าท่านอยู่ตัวคนเดียว ที่กลับมาเพื่อจะมาดูแลคุณตา ตนได้ฟังก็เสนอว่าเราควรรับเป็นบุตรบุญธรรมดีไหม แต่ภรรยาบอกให้ตนรับไปคนเดียว เพราะภรรยานั้นมีลูกอยู่แล้ว บอกประมาณว่าพี่ยังไม่มีลูกพี่ก็รับไป มีการไปบอกรับเป็นลูกบุญธรรมที่หน้าพระธาตุดอยสะเก็ด ตอนนั้นหวังว่าจะได้มีการดูแลกัน เพราะปกติตอนเราทำบุญพระก็จะตามไปด้วย
เรื่องความเชื่อของภรรยานั้น มีความเชื่อเรื่องหมอดูมาก ภรรยามักจะฟังคำหมอดูมาบอกตนว่า จะเป็นอย่างนู้น จะเป็นอย่างนี้ มีกรรมเยอะบ้าง แต่ตนจะไม่ค่อยมีใครมาทำนายทายทักตน ฝ่ายภรรยาจะคุยกับคนที่ทำนายเป็นเวลานาน ส่วนกับพระรูปนี้ที่ผ่านมาภรรยาก็คุยกันบ่อย แต่ไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร เพราะตนจะไม่ได้อยู่ด้วย เนื่องจากต้องไปดูแลกิจการ แต่เพราะช่วงนั้นชีวิตอาจมีอุปรรคหลายอย่าง ตนก็มองว่าที่ภรรยาไปคุยกับพระเพราะอยากสอบถามว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็อาจจะแนะนำหรือให้ทำสมาธิอะไรแบบนั้น
เวลาที่ภรรยาไปคุยกับพระ ก็แทบไม่ได้มาเล่าอะไรให้ตนฟัง ช่วงที่ตนอยู่กรุงเทพฯ ก็เริ่มติดต่อภรรยาได้ยาก มีคนมาบอกว่า ภรรยาไปที่วัดตอนกลางคืน บางทีก็ไปคุยกันในรถ มีคนในวัดเห็นเหตุการณ์ ทำให้ช่วงนั้นแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย จึงเกิดความสงสัย เมื่อได้ข้อมูลว่าพระมาที่บ้าน ตนจึงตัดสินใจกลับไปบ้านที่สุโขทัย
ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
ก่อนหน้านี้มีพฤติกรรมที่คนในบ้านเริ่มสงสัย แต่ตนก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย เพราะตนยังกราบไหว้พระรูปนี้อยู่ เห็นว่าภรรยาก็ยังอยู่ในศีลในธรรม ไม่เคยคิดอยู่ในหัวเลยว่าทั้งคู่จะมีอะไรกันเช่นนั้น ส่วนที่ทำให้ภรรยามีความคิดเปลี่ยนไป นอกจากคำพูดของพระรูปนี้แล้ว เชื่อว่ามาจากหมอดูที่ทำนายทายทัก หรือแม้แต่ครูบาที่เชียงใหม่ที่ทายอดีตชาติให้ฟัง เชื่อว่าภรรยาได้ฟังบ่อย ๆ ก็อาจจะเชื่อว่าพระเป็นคู่ของเขา
ตั้งแต่เจอเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้คุยกับอดีตภรรยา ที่ผ่านมามีน้องของฝ่ายหญิงพยายามติดต่อมาแต่ตนไม่ได้ติดต่อกลับ รวมทั้งไม่คิดจะติดต่อกับพระรูปนี้ จากนี้คงไม่คิดว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมอีก และต้องปรึกษากับทนายว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ส่วนกับภรรยานั้น ตนมองว่าคงไม่มีใครรับได้ และยิ่งมาเกี่ยวกับศาสนาก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ จนไม่รู้จะพูดอะไรกับสิ่งที่ทั้งสองคนทำเอาไว้
นาทีที่เปิดประตูเข้าไป ยอมรับว่าต้องอดทนไว้ เพราะไม่คิดว่าจะให้เกิดความรุนแรง แค่ไปเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ได้รับรู้มามันเป็นความจริง หลังเกิดเรื่องตนก็วิ่งออกมา ภรรยาก็พยายามจะแย่งโทรศัพท์ จนมาหยุดเจรจากันว่าให้ลงมาคุยกันข้างล่าง ทั้งคู่อยู่ในสภาพเปลือยกายและแต่งตัวออกมาคุยกันข้างล่าง ตนก็ถามว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องเหรอ เขาก็บอกว่ามันไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างที่ตนคิด หลงจากเกิดเรื่องก็มีการให้คนกลางจะมาขอโทษ แต่ตนก็ถามว่า อีกฝ่ายนั้นอยากขอโทษจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้มีการขอโทษกัน
หลังจากเกิดเรื่องตนก็มีธุระต้องไปทำต่อ มันก็จบกันตรงนั้น แต่ที่ตนรับรู้มา ก็เหมือนว่าฝ่ายหญิงนำตนไปต่อว่า หาว่าตนคิดไปเอง ตนจึงคิดว่าสิ่งที่ตนเห็นมา ถ้าตนไม่นำมาเปิดเผยตนจะผิดไหม ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอีก มันถูกต้องแล้วเหรอ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
จากกรณีที่มีข่าวอื้อฉาวระหว่างผู้สมัครเลือกตั้ง สส. กับพระมหา โดยคนใกล้ชิดมีการแฉถึงพฤติกรรมของฝ่ายหญิงกับพระที่ดูจะไม่เหมาะสม ก่อนหน้าก็เคยล็อกห้องอยู่กับพระสองต่อสอง อ้างว่าเข้าไปสวดมนต์ ก่อนจะเกิดเหตุที่สามีจับได้คาหนังคาเขานั้น
วันที่ 11 เมษายน 2567 เพจเฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้ สัมภาษณ์ สามีของนักการเมืองหญิง เปิดใจหลังออกรายการโหนกระแส เล่าว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์ที่จับได้ในคลิป ตนเริ่มระแคะระคายมาไม่ถึงเดือน ตนกลับไปที่บ้าน 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดเจอความผิดปกติที่ห้องนอนที่พระอยู่กับภรรยา ก่อนหน้านี้เวลาไปทำบุญตนก็จะไปกับฝ่ายหญิงตลอด แต่ช่วงหนึ่งตนกลับมากรุงเทพฯ 2-3 สัปดาห์ ก็ยังมีการติดต่อคุยกันและสนับสนุนกันอยู่เสมอ
ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
สาเหตุที่รับพระรูปนี้เป็นบุตรบุญธรรม เกิดจากคำบอกเล่าของภรรยาที่บอกว่า พระรูปนี้พ่อแม่ท่านแยกทางกัน ก็เหมือนว่าท่านอยู่ตัวคนเดียว ที่กลับมาเพื่อจะมาดูแลคุณตา ตนได้ฟังก็เสนอว่าเราควรรับเป็นบุตรบุญธรรมดีไหม แต่ภรรยาบอกให้ตนรับไปคนเดียว เพราะภรรยานั้นมีลูกอยู่แล้ว บอกประมาณว่าพี่ยังไม่มีลูกพี่ก็รับไป มีการไปบอกรับเป็นลูกบุญธรรมที่หน้าพระธาตุดอยสะเก็ด ตอนนั้นหวังว่าจะได้มีการดูแลกัน เพราะปกติตอนเราทำบุญพระก็จะตามไปด้วย
เรื่องความเชื่อของภรรยานั้น มีความเชื่อเรื่องหมอดูมาก ภรรยามักจะฟังคำหมอดูมาบอกตนว่า จะเป็นอย่างนู้น จะเป็นอย่างนี้ มีกรรมเยอะบ้าง แต่ตนจะไม่ค่อยมีใครมาทำนายทายทักตน ฝ่ายภรรยาจะคุยกับคนที่ทำนายเป็นเวลานาน ส่วนกับพระรูปนี้ที่ผ่านมาภรรยาก็คุยกันบ่อย แต่ไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร เพราะตนจะไม่ได้อยู่ด้วย เนื่องจากต้องไปดูแลกิจการ แต่เพราะช่วงนั้นชีวิตอาจมีอุปรรคหลายอย่าง ตนก็มองว่าที่ภรรยาไปคุยกับพระเพราะอยากสอบถามว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็อาจจะแนะนำหรือให้ทำสมาธิอะไรแบบนั้น
เวลาที่ภรรยาไปคุยกับพระ ก็แทบไม่ได้มาเล่าอะไรให้ตนฟัง ช่วงที่ตนอยู่กรุงเทพฯ ก็เริ่มติดต่อภรรยาได้ยาก มีคนมาบอกว่า ภรรยาไปที่วัดตอนกลางคืน บางทีก็ไปคุยกันในรถ มีคนในวัดเห็นเหตุการณ์ ทำให้ช่วงนั้นแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย จึงเกิดความสงสัย เมื่อได้ข้อมูลว่าพระมาที่บ้าน ตนจึงตัดสินใจกลับไปบ้านที่สุโขทัย
ภาพจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์
ก่อนหน้านี้มีพฤติกรรมที่คนในบ้านเริ่มสงสัย แต่ตนก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย เพราะตนยังกราบไหว้พระรูปนี้อยู่ เห็นว่าภรรยาก็ยังอยู่ในศีลในธรรม ไม่เคยคิดอยู่ในหัวเลยว่าทั้งคู่จะมีอะไรกันเช่นนั้น ส่วนที่ทำให้ภรรยามีความคิดเปลี่ยนไป นอกจากคำพูดของพระรูปนี้แล้ว เชื่อว่ามาจากหมอดูที่ทำนายทายทัก หรือแม้แต่ครูบาที่เชียงใหม่ที่ทายอดีตชาติให้ฟัง เชื่อว่าภรรยาได้ฟังบ่อย ๆ ก็อาจจะเชื่อว่าพระเป็นคู่ของเขา
ตั้งแต่เจอเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้คุยกับอดีตภรรยา ที่ผ่านมามีน้องของฝ่ายหญิงพยายามติดต่อมาแต่ตนไม่ได้ติดต่อกลับ รวมทั้งไม่คิดจะติดต่อกับพระรูปนี้ จากนี้คงไม่คิดว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมอีก และต้องปรึกษากับทนายว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ส่วนกับภรรยานั้น ตนมองว่าคงไม่มีใครรับได้ และยิ่งมาเกี่ยวกับศาสนาก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ จนไม่รู้จะพูดอะไรกับสิ่งที่ทั้งสองคนทำเอาไว้
นาทีที่เปิดประตูเข้าไป ยอมรับว่าต้องอดทนไว้ เพราะไม่คิดว่าจะให้เกิดความรุนแรง แค่ไปเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ได้รับรู้มามันเป็นความจริง หลังเกิดเรื่องตนก็วิ่งออกมา ภรรยาก็พยายามจะแย่งโทรศัพท์ จนมาหยุดเจรจากันว่าให้ลงมาคุยกันข้างล่าง ทั้งคู่อยู่ในสภาพเปลือยกายและแต่งตัวออกมาคุยกันข้างล่าง ตนก็ถามว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องเหรอ เขาก็บอกว่ามันไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างที่ตนคิด หลงจากเกิดเรื่องก็มีการให้คนกลางจะมาขอโทษ แต่ตนก็ถามว่า อีกฝ่ายนั้นอยากขอโทษจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้มีการขอโทษกัน
หลังจากเกิดเรื่องตนก็มีธุระต้องไปทำต่อ มันก็จบกันตรงนั้น แต่ที่ตนรับรู้มา ก็เหมือนว่าฝ่ายหญิงนำตนไปต่อว่า หาว่าตนคิดไปเอง ตนจึงคิดว่าสิ่งที่ตนเห็นมา ถ้าตนไม่นำมาเปิดเผยตนจะผิดไหม ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอีก มันถูกต้องแล้วเหรอ