หนุ่มถูกตำรวจบีบให้รับสารภาพว่าฆ่าพ่อ ขู่จะฆ่าหมาทิ้ง สอบเค้น 17 ชม. จนแทบคลั่ง สุดท้ายคดีพลิก ! ที่แท้พ่อไม่ตาย ลุยฟ้องชนะ 33 ล้าน
ภาพจาก Steeringlaw
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 เว็บไซต์อินดิเพนเดนต์ รายงานเรื่องราวบทสรุปคดีความชวนสะเทือนใจ หลังชายคนหนึ่งถูกตำรวจกล่าวหาว่าลงมือฆ่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่กดดันสารพัดวิธีตลอดระยะเวลา 17 ชั่วโมง เพื่อบีบบังคับให้เขายอมรับสารภาพ ก่อนที่สุดท้ายจะพบว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด ซึ่งเกิดจากความบกพร่องจากการสืบสวนเองทั้งหมด
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 นายโทมัส เปเรซ จูเนียร์ โทร. แจ้งตำรวจฟอนทาน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แสดงความกังวลว่า พ่อของเขา ซึ่งอายุ 71 ปี หายตัวไปหลังจากออกไปเดินเล่นกับเจ้า "มาร์โกช่า" สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ที่เลี้ยงในบ้าน ช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. แต่เขากลับพบว่าเจ้ามาร์โกช่าวิ่งกลับมาที่บ้านโดยลำพัง โดยที่พ่อของเขานั้นหายตัวไป
ภาพจาก Steeringlaw
หลังจากตำรวจได้รับแจ้งเหตุ แนวทางการสืบสวนของตำรวจกลับเพ่งเล็งว่า โทมัส เปเรซ จูเนียร์ คือผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรมพ่อของตัวเอง โดยตอนนั้นเจ้าตัวถูกตำรวจมองว่ามีท่าทีน่าสงสัย ดูวอกแวก และไม่กังวลกับการหายตัวไปของพ่อตัวเอง
ตำรวจเริ่มปฏิบัติการบีบบังคับเพื่อคำสารภาพ โดยแจ้งกับเขาว่า พ่อของเขานั้นเสียชีวิตแล้ว อ้างว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่พบศพของผู้เป็นพ่อ และมีหลักฐานว่า เขาเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง ซึ่ง โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ยืนกรานว่า เขาไม่เคยก่อเหตุฆ่าใคร แต่ก็กลับถูกมองว่าคำปฏิเสธของเขานั้น อาจเกิดจากจิตใจของมนุษย์ซึ่งมักจะพยายามระงับความทรงจำที่เลวร้ายของตัวเอง
ช่วงหนึ่งตำรวจนำตัว เจ้ามาร์โกช่า เข้ามาในห้องสอบสวน พร้อมแจ้งว่า พวกเขาจะต้องทำการุณยฆาตสุนัขตัวนี้ และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้บอกลามัน ส่งผลให้ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ รู้สึกใจสลายซ้ำไปกว่าเดิม เขาถึงกับลงไปนอนกับพื้นเพื่อกอดกับ เจ้ามาร์โกช่าในห้องสอบสวน ก่อนที่ตำรวจจะพูดว่า สุนัขของคุณมันจะจากไปแล้ว ทำใจเสียเถอะ ก่อนจะพามันออกจากห้องสอบสวนไป
ในขณะที่การสอบสวนนายเปเรซดำเนินไป เจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบที่บ้านของ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ พวกเขาอ้างว่าพบคราบเลือด และเมื่อใช้หน่วยสุนัข K-9 สำรวจ ตำรวจอ้างว่าสุนัขได้แจ้งเตือนว่าพบศพมนุษย์เสียชีวิตอยู่ในห้องนอนชั้นบนของพ่อของเปเรซ ซึ่งต่อมาหลังความจริงปรากฏ ทนายความพบว่า หลักฐานดังกล่าวไม่ใช่ของจริงแต่ถูกตำรวจสร้างขึ้นมาเอง
นอกจากนี้ ในระหว่างถูกสอบสวน โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ได้ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงยาตามใบสั่งแพทย์ที่เขาใช้ยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคซึมเศร้า ความเครียด โรคหอบหืด และความดันโลหิตสูง เขานั้นมีสภาพบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรง บางช่วงเขากรีดร้องออกมาเสียงดังและพยายามดึงผม แล้วฉีกเสื้อตัวเองออก
ภาพจาก Steeringlaw
ตำรวจโกหกกับ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ว่า เจ้าหน้าที่พบศพพ่อของเขาแล้ว โดยศพนั้นมีรอยแทง ขณะนี้ร่างอยู่ในห้องดับจิต จนเวลาต่อมา นายเปเรซ สารภาพผิดและถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้อง รวมแล้วเป็นเวลากว่า 17 ชั่วโมง ที่เขาต้องอยู่ในห้องสอบสวนด้วยความทุกข์ทรมานใจ จนเขาคิดสั้นพยายามจะใช้เสื้อแขวนคอจบชีวิตตัวเอง ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการจิตเวชโดยไม่สมัครใจ
ในขณะที่เขาอยู่ที่โรงพยาบาล น้องสาวของเขาได้โทร. มาแจ้งที่สถานีตำรวจว่า พบตัวพ่อที่หายตัวไปแล้ว ทราบว่าช่วงเวลาดังกล่าวคุณพ่อเดินทางไปที่สนามบินแอลเอ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่เมืองเอล มอนเต้ ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย
อย่างไรก็ดี แม้ครอบครัวจะพบตัวพ่อที่หายตัวไปแล้ว แต่ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ซึ่งขณะนั้นถูกคุมขังอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวช เขายังคงไม่รู้เรื่องนี้ เขาคิดว่าตัวเองได้สูญเสียทั้งพ่อและสุนัขไปแล้ว จนกระทั่งได้รู้ความจริงเมื่อถูกปล่อยตัวออกมาในอีก 3 วันให้หลัง
หลังเกิดเรื่องราวนี้ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ตัดสินใจฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า คณะลูกขุนสรุปว่า คดีนี้ นักสืบได้ก่อให้เกิดการทรมานทางจิตใจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญต่อ นายเปเรซ โดยออกคำสั่งให้เมืองฟอนทาน่า จ่ายค่าเสียหายให้กับเขาจำนวน 898,000 ดอลลาร์ (ราว 33 ล้านบาท)
ภายหลังคำตัดสินเกิดขึ้น ตัวแทนทนายความของ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ เปิดใจว่า ตลอดที่เขาทำอาชีพนี้มา 40 ปี พวกเขาไม่เคยเห็นความจงใจปราศจากความเมตตาจากตำรวจในระดับนี้มาก่อน ขณะนี้ โฆษกตำรวจฟอนทาน่าและทนายความของเมือง ไม่ได้ออกมาชี้แจงใด ๆ และไม่ได้ให้ข้อมูลว่า มีเจ้าหน้าที่คนใดถูกดำเนินคดีทางวินัยหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก
independent, the guardian
ภาพจาก Steeringlaw
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 เว็บไซต์อินดิเพนเดนต์ รายงานเรื่องราวบทสรุปคดีความชวนสะเทือนใจ หลังชายคนหนึ่งถูกตำรวจกล่าวหาว่าลงมือฆ่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่กดดันสารพัดวิธีตลอดระยะเวลา 17 ชั่วโมง เพื่อบีบบังคับให้เขายอมรับสารภาพ ก่อนที่สุดท้ายจะพบว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด ซึ่งเกิดจากความบกพร่องจากการสืบสวนเองทั้งหมด
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 นายโทมัส เปเรซ จูเนียร์ โทร. แจ้งตำรวจฟอนทาน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แสดงความกังวลว่า พ่อของเขา ซึ่งอายุ 71 ปี หายตัวไปหลังจากออกไปเดินเล่นกับเจ้า "มาร์โกช่า" สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ที่เลี้ยงในบ้าน ช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. แต่เขากลับพบว่าเจ้ามาร์โกช่าวิ่งกลับมาที่บ้านโดยลำพัง โดยที่พ่อของเขานั้นหายตัวไป
ภาพจาก Steeringlaw
หลังจากตำรวจได้รับแจ้งเหตุ แนวทางการสืบสวนของตำรวจกลับเพ่งเล็งว่า โทมัส เปเรซ จูเนียร์ คือผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรมพ่อของตัวเอง โดยตอนนั้นเจ้าตัวถูกตำรวจมองว่ามีท่าทีน่าสงสัย ดูวอกแวก และไม่กังวลกับการหายตัวไปของพ่อตัวเอง
ตำรวจเริ่มปฏิบัติการบีบบังคับเพื่อคำสารภาพ โดยแจ้งกับเขาว่า พ่อของเขานั้นเสียชีวิตแล้ว อ้างว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่พบศพของผู้เป็นพ่อ และมีหลักฐานว่า เขาเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง ซึ่ง โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ยืนกรานว่า เขาไม่เคยก่อเหตุฆ่าใคร แต่ก็กลับถูกมองว่าคำปฏิเสธของเขานั้น อาจเกิดจากจิตใจของมนุษย์ซึ่งมักจะพยายามระงับความทรงจำที่เลวร้ายของตัวเอง
ช่วงหนึ่งตำรวจนำตัว เจ้ามาร์โกช่า เข้ามาในห้องสอบสวน พร้อมแจ้งว่า พวกเขาจะต้องทำการุณยฆาตสุนัขตัวนี้ และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้บอกลามัน ส่งผลให้ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ รู้สึกใจสลายซ้ำไปกว่าเดิม เขาถึงกับลงไปนอนกับพื้นเพื่อกอดกับ เจ้ามาร์โกช่าในห้องสอบสวน ก่อนที่ตำรวจจะพูดว่า สุนัขของคุณมันจะจากไปแล้ว ทำใจเสียเถอะ ก่อนจะพามันออกจากห้องสอบสวนไป
ในขณะที่การสอบสวนนายเปเรซดำเนินไป เจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบที่บ้านของ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ พวกเขาอ้างว่าพบคราบเลือด และเมื่อใช้หน่วยสุนัข K-9 สำรวจ ตำรวจอ้างว่าสุนัขได้แจ้งเตือนว่าพบศพมนุษย์เสียชีวิตอยู่ในห้องนอนชั้นบนของพ่อของเปเรซ ซึ่งต่อมาหลังความจริงปรากฏ ทนายความพบว่า หลักฐานดังกล่าวไม่ใช่ของจริงแต่ถูกตำรวจสร้างขึ้นมาเอง
นอกจากนี้ ในระหว่างถูกสอบสวน โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ได้ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงยาตามใบสั่งแพทย์ที่เขาใช้ยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคซึมเศร้า ความเครียด โรคหอบหืด และความดันโลหิตสูง เขานั้นมีสภาพบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรง บางช่วงเขากรีดร้องออกมาเสียงดังและพยายามดึงผม แล้วฉีกเสื้อตัวเองออก
ภาพจาก Steeringlaw
ตำรวจโกหกกับ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ว่า เจ้าหน้าที่พบศพพ่อของเขาแล้ว โดยศพนั้นมีรอยแทง ขณะนี้ร่างอยู่ในห้องดับจิต จนเวลาต่อมา นายเปเรซ สารภาพผิดและถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้อง รวมแล้วเป็นเวลากว่า 17 ชั่วโมง ที่เขาต้องอยู่ในห้องสอบสวนด้วยความทุกข์ทรมานใจ จนเขาคิดสั้นพยายามจะใช้เสื้อแขวนคอจบชีวิตตัวเอง ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการจิตเวชโดยไม่สมัครใจ
ในขณะที่เขาอยู่ที่โรงพยาบาล น้องสาวของเขาได้โทร. มาแจ้งที่สถานีตำรวจว่า พบตัวพ่อที่หายตัวไปแล้ว ทราบว่าช่วงเวลาดังกล่าวคุณพ่อเดินทางไปที่สนามบินแอลเอ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่เมืองเอล มอนเต้ ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย
อย่างไรก็ดี แม้ครอบครัวจะพบตัวพ่อที่หายตัวไปแล้ว แต่ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ซึ่งขณะนั้นถูกคุมขังอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวช เขายังคงไม่รู้เรื่องนี้ เขาคิดว่าตัวเองได้สูญเสียทั้งพ่อและสุนัขไปแล้ว จนกระทั่งได้รู้ความจริงเมื่อถูกปล่อยตัวออกมาในอีก 3 วันให้หลัง
หลังเกิดเรื่องราวนี้ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ ตัดสินใจฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า คณะลูกขุนสรุปว่า คดีนี้ นักสืบได้ก่อให้เกิดการทรมานทางจิตใจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญต่อ นายเปเรซ โดยออกคำสั่งให้เมืองฟอนทาน่า จ่ายค่าเสียหายให้กับเขาจำนวน 898,000 ดอลลาร์ (ราว 33 ล้านบาท)
ภายหลังคำตัดสินเกิดขึ้น ตัวแทนทนายความของ โทมัส เปเรซ จูเนียร์ เปิดใจว่า ตลอดที่เขาทำอาชีพนี้มา 40 ปี พวกเขาไม่เคยเห็นความจงใจปราศจากความเมตตาจากตำรวจในระดับนี้มาก่อน ขณะนี้ โฆษกตำรวจฟอนทาน่าและทนายความของเมือง ไม่ได้ออกมาชี้แจงใด ๆ และไม่ได้ให้ข้อมูลว่า มีเจ้าหน้าที่คนใดถูกดำเนินคดีทางวินัยหรือไม่
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก
independent, the guardian