แม่วัย 50 พาลูกน้อยมาตรวจดีเอ็นเอ กับพ่อวัย 20 กว่าปี ก่อนยัดเงินในศูนย์ฯ หวังแก้ผลที่ออกมา ขอร้องทั้งน้ำตา สภาพสุดสิ้นหวัง เผยเหตุผลเบื้องหลังสุดสะเทือนใจ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
รายงานเผยว่า คู่รักที่พาเด็กมาตรวจดีเอ็นเอนั้น ฝ่ายหญิงมีอายุประมาณ 50 ปี ขณะที่ฝ่ายชายยังหนุ่มมาก อายุเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น หลังจากเก็บตัวอย่างแล้วในเย็นวันนั้นฝ่ายหญิงก็โทร. มาขอพบ ผอ.ศูนย์ฯ เป็นการส่วนตัว แต่เหงียนถี่หง่าปฏิเสธการขอพบเป็นการส่วนตัว แม้ฝ่ายหญิงจะร้องไห้และขอร้องทางโทรศัพท์ก็ตาม
"เมื่อผลดีเอ็นเอออกมา ฉันประหลาดใจมากที่พบว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกโดยสายเลือดของฝ่ายหญิง และยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายชาย ฉันตั้งใจจะโทร. แจ้งผลให้ฝ่ายหญิงทราบ แต่ดูเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ แต่แล้วเธอก็ร้องไห้หนักมาก" เหงียนถี่หง่า เผย
วันต่อมา หญิงรายนี้มาที่ศูนย์ฯ อีกครั้งเพื่อขอพบเหงียนถี่หง่า เมื่อเจอหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงนั่งร้องไห้ก่อนจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งมายื่นให้ และขอร้องเหงียนถี่หง่าทั้งน้ำตาว่า "ฉันอยากให้เด็กคนนี้เป็นลูกฉัน คุณระบุแค่ไม่มีความสัมพันธ์พ่อ-ลูก และลบส่วนที่ระบุว่าไม่มีความสัมพันธ์แม่-ลูก ออกได้ไหม"
ได้ยินแบบนั้น เหงียนถี่หง่าก็ส่ายหน้า อธิบายว่าทางศูนย์ฯ ได้รับเงินค่าดำเนินการมาแล้ว จะไม่รับเงินเพิ่มเติม และต้องระบุผลที่ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นฝ่ายหญิงจึงหยิบเงินกลับไป และได้แต่คร่ำครวญอย่างแสนเจ็บปวดว่า "ฉันรักลูกของฉัน ฉันผิดเองที่ฆ่าลูก แม่เสียใจ"
ภาพความเจ็บปวดนั้นทำให้เหงียนถี่หง่ารู้สึกเศร้าใจเช่นกัน เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดผลการตรวจดีเอ็นเอถึงทำให้อีกฝ่ายสิ้นหวังและโศกเศร้าขนาดนั้น แต่แล้วในอีก 1 ปีต่อมา เธอก็ได้รับคำตอบ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
โดยหลังจากการตรวจดีเอ็นเอครั้งนั้นประมาณ 1 ปี เหงียนถี่หง่าได้รับโทรศัพท์ที่ไม่ทราบเบอร์ ปรากฏว่าคนที่โทร. มาก็คือหญิงที่เจ็บปวดจากผลดีเอ็นเอคนนั้น เธอเผยว่าอยากจะโทร. มาอธิบายความจริงตั้งนานแล้ว แต่คิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่ตอนนี้เธออยากจัดการทุก ๆ อย่างให้เรียบร้อย เพราะไม่อยากให้ ผอ.ศูนย์ฯ เข้าใจอะไรเธอผิด
หญิงรายนี้เล่าว่า เธอเป็นแม่หม้ายที่มีลูกสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เธอเล่นหุ้นจนมีเงินทำธุรกิจ ต่อมาเพื่อนเก่าคนหนึ่งได้มาขอยืมเงินไปก้อนใหญ่ แต่ไม่ยอมจ่ายคืน เธอไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องหาคนมาช่วยติดตามหนี้ ตอนนั้นเองจึงรู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยินดีช่วย กระทั่งตามเก็บหนี้ให้เธอได้สำเร็จ
จากเรื่องดังกล่าวทำให้ทั้งคู่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์
แต่ต่อมาฝ่ายหญิงเกิดตั้งท้อง
เธอไม่อยากให้ลูกสาวทราบเรื่องเพราะกลัวว่าลูกจะรับไม่ได้
เธออยากทำแท้งแต่ก็ถูกฝ่ายชายขู่ว่าจะฆ่าทั้งเธอและลูกสาว
เพราะเป็นห่วงลูกมาก เธอเลยยอมทำตามความต้องการของฝ่ายชายทุกอย่าง
รวมถึงให้เงินอีกฝ่ายไปถลุง
จนเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือน เธอก็โกหกลูกสาวว่าจะต้องไปทำงานที่ต่างเมืองเป็นเวลานาน แต่แท้จริงแล้วเธอตั้งใจจะหนีไปคลอด รอให้เด็กอายุสัก 2-3 ขวบค่อยรับตัวกลับมาเลี้ยงในฐานะลูกบุญธรรม ซึ่งลูกสาวเองก็ไม่ได้สงสัย เพราะแม่มักเดินทางไปทำงานเป็นเวลานานบ่อย ๆ
ก่อนจากไปแม่ยังจ้างบอดี้การ์ดมาคอยปกป้องลูกสาว จากนั้นเธอก็ไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล ใช้ชีวิตในฐานะภรรยาที่ถูกสามีทิ้ง ในหมู่บ้านเธอยังพบผู้หญิงคนอื่นที่กำลังท้องอยู่เช่นกัน เธอใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านนั่นจนกระทั่งคลอด และเมื่อทารกแข็งแรงดีแล้ว เธอจึงเดินทางกลับเข้าเมืองอีกครั้ง
แต่เมื่อเธอกลับมาบ้าน ชายหนุ่มยังโผล่มาราวี ครั้งนี้เขาเรียกร้องเงินก้อนใหญ่และต้องการแต่งงานกับเธอ โชคร้ายที่ขณะนั้นลูกสาวซึ่งเลิกเรียนและกลับมาบ้านเร็ว ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้ง 2 คน ทำให้ลูกสาวเสียใจหนักและวิ่งออกจากบ้านไป ก่อนจะถูกรถชนเสียชีวิต
แม่ที่ใจสลายใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจต่อการสูญเสียลูกสาวได้ เธอคิดว่าเมื่อลูกสาวเสียชีวิตฝ่ายชายจะไม่มายุ่งกับเธอแล้ว แต่ยังเขากลับมาหาเธอ เรียกร้องสิทธิในตัวลูกคนเล็กและต้องการจะตรวจดีเอ็นเอ ดังนั้นเธอจึงวางแผน ไปนำลูกของผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้านมาตรวจดีเอ็นเอแทนลูก จึงไม่แปลกใจที่เด็กคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับเธอ
"เด็ก 2 คนเกิดเดือนเดียวกัน ทั้งคู่เรียกผู้หญิงในหมู่บ้านว่าแม่ ดังนั้นแม้จะไม่ใช่แม่ลูกแท้ ๆ เด็กน้อยก็เรียกเธออย่างเป็นธรรมชาติ" เหงียนถี่หง่า เผย
หลังจากตรวจดีเอ็นเอเสร็จ ฝ่ายหญิงก็พาเด็กกลับไปที่หมู่บ้าน และพยายามหาทางอื่นเพื่อให้ช่ายหนุ่มยอมแพ้ในตัวเด็กแทน เธอย้ำว่าไม่เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป เพราะไม่อยากให้ลูกต้องรับรู้ว่ามีผู้ชายเลว ๆ แบบนี้เป็นพ่อ
ทั้งนี้ หลังจากได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด เหงียนถี่หง่าก็เข้าใจในความเจ็บปวดของหญิงคนนี้ตอนที่เห็นผลดีเอ็นเอแล้ว และได้แต่หวังว่าหลังจากนี้แม่ลูกจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ Soha รายงานเรื่องราวจาก เหงียนถี่หง่า ผู้อำนวยการของศูนย์วิเคราะห์ดีเอ็นเอและเทคโนโลยีพันธุศาสตร์ ในประเทศเวียดนาม ซึ่งได้พบกับชายหญิงคู่หนึ่งที่พาเด็กมาตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมานั้นทำให้เธอประหลาดใจ และยิ่งช็อกหนักขึ้นเมื่อเห็นท่าทีสุดเจ็บปวดของฝ่ายหญิง จนเมื่อได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังก็อดที่จะเศร้าใจกับหญิงรายนี้ไม่ได้
รายงานเผยว่า คู่รักที่พาเด็กมาตรวจดีเอ็นเอนั้น ฝ่ายหญิงมีอายุประมาณ 50 ปี ขณะที่ฝ่ายชายยังหนุ่มมาก อายุเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น หลังจากเก็บตัวอย่างแล้วในเย็นวันนั้นฝ่ายหญิงก็โทร. มาขอพบ ผอ.ศูนย์ฯ เป็นการส่วนตัว แต่เหงียนถี่หง่าปฏิเสธการขอพบเป็นการส่วนตัว แม้ฝ่ายหญิงจะร้องไห้และขอร้องทางโทรศัพท์ก็ตาม
"เมื่อผลดีเอ็นเอออกมา ฉันประหลาดใจมากที่พบว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกโดยสายเลือดของฝ่ายหญิง และยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายชาย ฉันตั้งใจจะโทร. แจ้งผลให้ฝ่ายหญิงทราบ แต่ดูเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ แต่แล้วเธอก็ร้องไห้หนักมาก" เหงียนถี่หง่า เผย
วันต่อมา หญิงรายนี้มาที่ศูนย์ฯ อีกครั้งเพื่อขอพบเหงียนถี่หง่า เมื่อเจอหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงนั่งร้องไห้ก่อนจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งมายื่นให้ และขอร้องเหงียนถี่หง่าทั้งน้ำตาว่า "ฉันอยากให้เด็กคนนี้เป็นลูกฉัน คุณระบุแค่ไม่มีความสัมพันธ์พ่อ-ลูก และลบส่วนที่ระบุว่าไม่มีความสัมพันธ์แม่-ลูก ออกได้ไหม"
ได้ยินแบบนั้น เหงียนถี่หง่าก็ส่ายหน้า อธิบายว่าทางศูนย์ฯ ได้รับเงินค่าดำเนินการมาแล้ว จะไม่รับเงินเพิ่มเติม และต้องระบุผลที่ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นฝ่ายหญิงจึงหยิบเงินกลับไป และได้แต่คร่ำครวญอย่างแสนเจ็บปวดว่า "ฉันรักลูกของฉัน ฉันผิดเองที่ฆ่าลูก แม่เสียใจ"
ภาพความเจ็บปวดนั้นทำให้เหงียนถี่หง่ารู้สึกเศร้าใจเช่นกัน เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดผลการตรวจดีเอ็นเอถึงทำให้อีกฝ่ายสิ้นหวังและโศกเศร้าขนาดนั้น แต่แล้วในอีก 1 ปีต่อมา เธอก็ได้รับคำตอบ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
หญิงรายนี้เล่าว่า เธอเป็นแม่หม้ายที่มีลูกสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เธอเล่นหุ้นจนมีเงินทำธุรกิจ ต่อมาเพื่อนเก่าคนหนึ่งได้มาขอยืมเงินไปก้อนใหญ่ แต่ไม่ยอมจ่ายคืน เธอไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องหาคนมาช่วยติดตามหนี้ ตอนนั้นเองจึงรู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยินดีช่วย กระทั่งตามเก็บหนี้ให้เธอได้สำเร็จ
จนเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือน เธอก็โกหกลูกสาวว่าจะต้องไปทำงานที่ต่างเมืองเป็นเวลานาน แต่แท้จริงแล้วเธอตั้งใจจะหนีไปคลอด รอให้เด็กอายุสัก 2-3 ขวบค่อยรับตัวกลับมาเลี้ยงในฐานะลูกบุญธรรม ซึ่งลูกสาวเองก็ไม่ได้สงสัย เพราะแม่มักเดินทางไปทำงานเป็นเวลานานบ่อย ๆ
ก่อนจากไปแม่ยังจ้างบอดี้การ์ดมาคอยปกป้องลูกสาว จากนั้นเธอก็ไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล ใช้ชีวิตในฐานะภรรยาที่ถูกสามีทิ้ง ในหมู่บ้านเธอยังพบผู้หญิงคนอื่นที่กำลังท้องอยู่เช่นกัน เธอใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านนั่นจนกระทั่งคลอด และเมื่อทารกแข็งแรงดีแล้ว เธอจึงเดินทางกลับเข้าเมืองอีกครั้ง
แต่เมื่อเธอกลับมาบ้าน ชายหนุ่มยังโผล่มาราวี ครั้งนี้เขาเรียกร้องเงินก้อนใหญ่และต้องการแต่งงานกับเธอ โชคร้ายที่ขณะนั้นลูกสาวซึ่งเลิกเรียนและกลับมาบ้านเร็ว ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้ง 2 คน ทำให้ลูกสาวเสียใจหนักและวิ่งออกจากบ้านไป ก่อนจะถูกรถชนเสียชีวิต
แม่ที่ใจสลายใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจต่อการสูญเสียลูกสาวได้ เธอคิดว่าเมื่อลูกสาวเสียชีวิตฝ่ายชายจะไม่มายุ่งกับเธอแล้ว แต่ยังเขากลับมาหาเธอ เรียกร้องสิทธิในตัวลูกคนเล็กและต้องการจะตรวจดีเอ็นเอ ดังนั้นเธอจึงวางแผน ไปนำลูกของผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้านมาตรวจดีเอ็นเอแทนลูก จึงไม่แปลกใจที่เด็กคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับเธอ
"เด็ก 2 คนเกิดเดือนเดียวกัน ทั้งคู่เรียกผู้หญิงในหมู่บ้านว่าแม่ ดังนั้นแม้จะไม่ใช่แม่ลูกแท้ ๆ เด็กน้อยก็เรียกเธออย่างเป็นธรรมชาติ" เหงียนถี่หง่า เผย
หลังจากตรวจดีเอ็นเอเสร็จ ฝ่ายหญิงก็พาเด็กกลับไปที่หมู่บ้าน และพยายามหาทางอื่นเพื่อให้ช่ายหนุ่มยอมแพ้ในตัวเด็กแทน เธอย้ำว่าไม่เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป เพราะไม่อยากให้ลูกต้องรับรู้ว่ามีผู้ชายเลว ๆ แบบนี้เป็นพ่อ
ทั้งนี้ หลังจากได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด เหงียนถี่หง่าก็เข้าใจในความเจ็บปวดของหญิงคนนี้ตอนที่เห็นผลดีเอ็นเอแล้ว และได้แต่หวังว่าหลังจากนี้แม่ลูกจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha