x close

ปิดตำนานสาวสองพันปี หม่อมกอบแก้ว อาภากรฯ

หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา

หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา



          ถือเป็นการปิดฉากตำนานสุดท้ายของกุลสตรี 5 แผ่นดิน "หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา" นางพระกำนัล ในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 และชายาสุดรักของ พลเรือโทพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อดีตประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ ที่แม้จะจากโลกนี้ไปลับอย่างไม่มีวันกลับ ขณะมีอายุย่าง 101 ปี เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ชีวิตมากสีสันดุจเทพนิยายของ "หม่อมกอบแก้ว" ยังคงได้รับการเล่าขานไปอีกนานแสนนาน โดย เฉพาะบทบาทในฐานะ "สาวสองพันปี" แห่งแวดวงสังคมไทย ที่ยังสาวเสมอ และสวยปิ๊งเสมอ เหนือกาลเวลา 

          "หม่อมกอบแก้ว" เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือเกร็ดชีวิตส่วนตัว ถึงเคล็ดลับการดำเนินชีวิตอย่าง อมตะ ทำให้เป็น "สาวสองพันปี" มาได้จนถึงยุคปัจจุบันว่า เคล็ดลับสำคัญประการแรกคือ ต้องรู้กฎของธรรมชาติ โดย "หม่อมกอบแก้ว" อธิบายว่า ความแก่เป็นสัจธรรม เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องมีแก่, เจ็บไข้ได้ป่วย และในที่สุดก็ต้องตาย ไม่มีใครสามารถจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ ท่านจึงมีความเชื่อว่า คนเรานี้จะต้องเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาด้วยกฎของธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกัน ธรรมชาติก็ให้ความเป็นธรรมแก่มนุษย์ ถ้าเราพยายามรักษาสุขภาพ รักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพที่คงทนอยู่ได้ ธรรมชาติก็ช่วยให้ร่างกายของเราเสื่อมโทรมช้าลง 

          ส่วนเคล็ดลับประการที่สองได้แก่ ต้องมีงานอดิเรกและเล่นกีฬาเป็นประจำ งานอดิเรกและกีฬาที่ "หม่อมกอบแก้ว" นิยมเล่นมีหลายประเภท อาทิ ขี่ม้า, เทนนิส, ว่ายน้ำ และกอล์ฟ..."งานอดิเรกและกีฬาขี่ม้า เริ่มมาจากการที่เสด็จองค์อาทิตย์ฯโปรดขี่ม้ามาก ในวังมีม้าเลี้ยงไว้ถึง 13 ตัว พอวันหยุดหรือวันอาทิตย์ก็ขี่ม้าออกเที่ยวไปกับพวกฝรั่ง ที่เป็นสมาชิกโปโลคลับและพวกทหารม้า โดยปกติจะขี่ม้าไปเมืองนนท์ ขากลับก็ลงเรือที่ส่งไปคอย ทหารม้าที่ไปด้วยก็เอาม้ากลับกรุงเทพฯ ฉันขี่ม้าได้อย่างชำนาญจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้เป็นทหารม้ายศพันโท ยังเคยคิดว่า ถ้าเมื่อใดมีการสวนสนามทหารม้า ตั้งใจว่าจะไปสวนสนามด้วยสักครั้ง ก็พอดีเสด็จองค์อาทิตย์ฯ ทรงลาออกจากราชการเสียก่อน" 

          อย่างไรก็ดี สำหรับ "หม่อมกอบแก้ว" แล้ว กีฬาที่ชอบมากที่สุดในชีวิตคือกีฬาสมัยใหม่ เช่นกอล์ฟ ..."ฉันได้เป็นแชมเปียนสตรี และเป็นประธานสโมสรกอล์ฟด้วย แต่ก่อนจะเล่นกอล์ฟ หลังอาหารกลางวันทุกวัน ถ้าไม่ได้เล่นจะรู้สึกหงุดหงิด ปกติจะเล่นกอล์ฟประจำที่สนามสปอร์ตคลับกับดุสิตคลับ ฉันตีได้ 200 สบายๆอย่างผู้ชาย แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว เพิ่งจะเลิกเล่นกอล์ฟเมื่อไม่นานนี้เอง เพราะตาต้องใส่เลนส์"

          อีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ "หม่อมกอบแก้ว" ได้รับการขนานนามให้เป็นสาวสวยตลอดกาล ยังรวมถึง การบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ ท่านเล่าว่า "ฉันจะไม่รับประทานอาหารมากในแต่ละมื้อ พยายามเน้นในเรื่องคุณค่าของอาหารตามหลักโภชนาการ และไม่รับประทานอาหารแบบตามใจปาก แต่จะเน้นไปในเรื่องการบริหารร่างกาย และการเล่นกีฬามากๆ ฉันเอกเซอร์ไซส์เป็นประจำ ทั้งก่อนนอนและตื่นนอน ยกศีรษะบ้าง ยกขาบ้างไปตามเรื่อง จะนอนดึกตื่นเช้ายังไงก็ต้องทำให้เป็นนิสัย ไม่เคยไปดึงโน่นเติมนี่อย่างผู้หญิงคนอื่น ดูแต่ฟันนี่สิ ของจริงทั้งนั้น อายุฉันก็ขนาดนี้แล้ว แต่ฟันยังใช้ได้ดี บอกใครก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อ"

          ส่วนหลักการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขไม่มีทุกข์ แม้ว่าจะต้องครองตัวเป็นม่ายมาตั้งแต่อายุย่าง 38 ปี เนื่องจากเสด็จพระองค์อาทิตย์ฯ สิ้นชีพิตักษัยด้วยโรคมะเร็ง เมื่อปี 2489 โดยไร้ทายาทสืบสกุล "หม่อมกอบแก้ว" เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่า "ฉันคิดว่าอะไรมันจะเกิด ก็ให้มันเกิด จะไม่ตามตื๊อเซ้าซี้ เราต้องเป็นม่ายก็ต้องเป็น ก็ต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ พยายามระวังเรื่องการใช้จ่ายเงินทองให้ดี เพราะเสด็จพระองค์อาทิตย์ฯก็ไม่มีอะไร อาศัยรายได้จากเงินเดือนข้าราชการธรรมดา ฉันจึงต้องทำตัวเป็นแม่บ้านที่ดีเท่าที่จะทำได้ตลอดมา ในการครองชีวิตนั้น ฉันเชื่อว่า ต้องรับผิดชอบตัวเอง ต้องนึกว่าตัวเองเป็นที่พึ่งของตัวเอง แล้วก็ต้องบังคับตัวเองให้อยู่ในวินัย อยากจะทำอะไรยากง่าย ก็ต้องพยายาม แล้วต้องนึกสงสัยว่า ถ้าเราไม่วางตัวให้อยู่ในวินัยแล้ว เราจะบังคับอะไรไม่ได้ ดังนั้น เราต้องบังคับตัวเองให้ได้ก่อน" 

          "หม่อมกอบแก้ว" เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า "เมื่อเสด็จพระองค์อาทิตย์ฯสิ้นแล้ว ฉันได้ย้ายมาอยู่บ้านรัตนาภา เวลานั้นสงครามโลกยุติใหม่ๆ แต่ที่นี่มีคนอยู่มากตั้ง 40-50 คน ฉันเลยไปอยู่กับแม่และพี่สาวที่ศาลาแดง ต่อจากนั้น ฉันก็ย้ายบ้านมาเรื่อยๆรวม 16 ครั้งแล้ว ในช่วงที่เป็นแม่ม่ายใหม่ๆ ฉันอยากเก็บตัวไม่อยากไปออกงานสังคม ไม่มีอะไรทำก็อยู่กับบ้านเฉยๆ จนกระทั่งมีเพื่อนมาชวนให้ไปทำงานเพื่อสังคม จึงก้าวเข้ามาสู่วงการสังคม และสังคมสงเคราะห์ตั้งแต่นั้นมา งานแรกคือการเป็นนายกสมาคมสตรีไทยเน้นจัดงานและหารายได้บำรุงการกุศล ช่วงนั้นเป็นช่วงสงคราม โลกครั้งที่สอง มีเด็กกำพร้าและแม่ม่ายมาก เนื่องจากสามีเสียชีวิตในสงคราม ฉันได้ให้ความช่วยเหลือแก่คนพวกนี้ ก่อนจะเข้ามาช่วยงานกาชาดเต็มตัว" 

          ในฐานะสตรีผู้เป็นแบบอย่างของสังคม "หม่อมกอบแก้ว" ได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประธานจัดหาทุนระดับชาติเพื่อสงเคราะห์เด็กให้แก่องค์การสหประชาชาติ, ประธานจัดหารายได้ให้สภากาชาดไทยต่อเนื่องกว่า 21 ปี, ประธานมูลนิธิกองทุนการกุศลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, ประธานหาทุนมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี รวมถึงผลงานชิ้นโบแดง นั่นคือ การทุ่มเทตนเองให้กับงานพัฒนาสตรีผู้ด้อยโอกาส โดยก่อตั้งศูนย์สงเคราะห์และฝึกอาชีพสตรีรัตนาภา ที่ จ.ขอนแก่น เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเตือนความทรงจำ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ท่านมีต่อเสด็จพระองค์อาทิตย์ฯตราบนิรันดร์ 
          
          "ชีวิตฉันอยู่อย่างธรรมดามาก มีเวลาว่างฉันก็ช่วยการกุศล ช่วยด้วยแรงและอยากช่วยจริงๆ มีรายได้ก็จากบ้านเช่า และทรัพย์สินเก่า บำเหน็จบำนาญจากเสด็จพระองค์อาทิตย์ฯก็ไม่มี เพราะท่านสิ้นตั้งแต่ยังหนุ่ม ฉันต้องขายบ้านเก่าที่รักมาก แต่ฉันก็พอใจ คนเราจะดิ้นรนไปทำไมกันหนักหนา ความสุขตอนนี้ นอกจากได้ทำบุญทำกุศลแล้ว ฉันกำลังรวบรวมเรื่องเก่าๆมาเขียน อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์ที่ฉันได้ผ่านมาถึง 5 รัชกาลแล้วนะ"

          ....นี่คืออีกหนึ่งแง่มุมชีวิตอันงดงามและน่าจดจำของ "หม่อมกอบแก้ว" หญิงไทย 5 แผ่นดิน


ข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปิดตำนานสาวสองพันปี หม่อมกอบแก้ว อาภากรฯ โพสต์เมื่อ 24 พฤษภาคม 2551 เวลา 09:52:36 29,202 อ่าน
TOP