ครูวี เจอมรสุมชีวิตหนัก ลาออกรับเงินบำเหน็จ 1.8 ล้านบาท ไปใช้หนี้ ก่อนเข้า กทม. ไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง เพื่อนร่วมงานร้องไห้วิงวอนอยากให้กลับมาที่ จ.นครพนม ชะตาชีวิตเหมือนโดนกลั่นแกล้ง
ภาพจาก โหนกระแส
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 โหนกระแส รายงานว่า ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.บ้านค้อ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม เกิดกรณีที่มีข่าวว่าครูลาออกไปเป็นกรรมกรก่อสร้างในกรุงเทพฯ หลังประสบมรสุมชีวิตอย่างเดียวดาย และล้มป่วยสารพัดโรค จึงตัดสินใจลาออกเพื่อรับเงินบำเหน็จนำไปใช้หนี้
จากการสอบถามรักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน เปิดเผยว่า ครูวี อายุ 45 ปี ครูชำนาญการพิเศษ สอนวิชาคณิตศาสตร์ ได้ลาออกจากราชการจริง ที่ผ่านมาแม้ว่าตนจะได้สัมผัสกับครูวีในระยะสั้น ๆ เนื่องจากเพิ่งย้ายมาปฏิบัติราชการได้ 6 เดือนเศษ แต่ครูวีมีความรับผิดชอบต่องานที่มอบหมายให้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ครูวี ลาออกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตอนนั้นเมื่อมีหนังสือขอลาออกวางไว้ที่โต๊ะของ ผอ. ครูทั้งโรงเรียนตกใจมาก ต่างโทรศัพท์สอบถามเหตุผลจากครูวี แต่เจ้าตัวตัดสินใจแล้ว จึงส่งหนังสือฉบับดังกล่าวเสนอต่อ สพม.นครพนม ลงนาม ทำให้ครูวีขาดจากข้าราชการครู โดยเวลานั้นไม่มีใครรู้ที่อยู่ของครูวี ตนยอมรับว่าจากเรื่องนี้ทำให้โรงเรียนขาดครูดี ๆ ไปหนึ่งคน แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจ
ครูรุ่นพี่ร่ำไห้ เล่ามรสุมชีวิตครูวี ย้ำไม่โกรธแม้สร้างหนี้ไว้ ห่วงสุขภาพ วอนกลับมานครพนม
ด้าน ครูน้อย สอนวิชาเคมี หนึ่งในคนที่ครูวีเคารพนับถือที่สุด เปิดใจว่า ครูวีเป็นคน จ.อุบลราชธานี หลังสอบข้าราชการครูได้ก็มาบรรจุที่นครพนมเป็นสถานที่แรก และปักหลักอยู่ถาวรนานถึง 22 ปี เท่ากับอายุราชการ
หลังจากเล่าถึงเรื่องนี้ ครูน้อย เริ่มมีน้ำตาไหลลอดแว่นตา ก่อนจะมีเสียงสะอื้นตามมา เนื่องจากสงสารในชะตากรรมของครูวี พร้อมเล่าว่า เมื่อก่อนครูวีเป็นคนสดใสร่าเริง ตนสนิทสนมกับน้องคนนี้ที่สุด ตนกับสามีเห็นว่าครูวีเป็นคนต่างถิ่น อยู่ตัวคนเดียว จึงชวนมากินข้าวที่บ้าน จนมีคนแซวว่าตนมีลูก 3 คน โดย 2 คนนั้นเป็นลูกจริง ๆ ส่วนคนที่ 3 คือครูวีนั่นเอง
กระทั่งครูวีสร้างบ้านหลังหนึ่งไว้เป็นเรือนหอกับแฟนสาวที่มีการหมั้นหมายกันไว้ แต่ต่อมาคุณแม่ครูวีล้มป่วยและเสียชีวิตที่ จ.อุบลราชธานี ครูวีจึงรับคุณพ่อและพี่ชายมาอยู่ด้วย ถึงตอนนี้เริ่มมีปัญหาชีวิต เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคไต ก่อนจะเสียชีวิตลงห่างจากคุณแม่เพียงปีเศษ ต่อมาพี่ชายครูวีก็ล้มป่วยอีกคน ครูวีต้องตัดสินใจขายบ้านเพื่อนำเงินมารักษาพี่ชาย ก่อนพี่ชายจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ภาพจาก โหนกระแส
หลังจากนั้นแฟนสาวได้ขอถอนหมั้น ให้เหตุผลว่าไปกันไม่ได้ ทำให้ครูวีเครียดเป็นทวีคูณ จากคนร่าเริงกลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ หันไปพึ่งเหล้าเป็นเพื่อน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และดื่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ตามด้วยโรคเบาหวาน ต้องกินยาตามแพทย์สั่ง แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดดื่มเหล้า กระทั่งป่วยด้วยโรคไตระยะสุดท้าย แพทย์บอกว่าต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 วัน แต่น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี จึงเป็นเหตุผลให้ครูวีปฏิเสธการรักษาทุกชนิด และเลิกกินยาลดความดันรวมทั้งโรคเบาหวาน
ไม่มีใครคาดคิดว่าครูวีจะยื่นหนังสือลาออก แม้จะมีการยื้อใบลาออกไว้เพื่อโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ ตนบอกว่าให้อดทนเอา อีก 2 ปีค่อยลาออกเพื่อได้บำนาญ หากลาออกตอนนี้จะได้แค่เงินบำเหน็จ และไม่ได้สิทธิ์รักษาพยาบาล แต่คิดว่าครูวีรู้ตัวว่าคงอยู่ไม่ถึง จึงเลือกที่จะขอลาออกเพื่อได้เงินบำเหน็จประมาณ 1.8 ล้านบาท ทราบว่านำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้หนี้นอกระบบ ส่วนเงินกู้ในระบบที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูมัธยมศึกษานครพนม จำนวน 3 ล้านบาท มีเพื่อนครูรวม 6 คน เซ็นค้ำประกัน หนึ่งในนั้นก็มีตนรวมอยู่ด้วย
หลังจากครูวีลาออกแล้ว ตนทราบว่าครูวีได้ไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในแคมป์คนงาน เป็นแรงงานไร้ฝีมือ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ด้านงานก่อสร้างมาก่อน และด้วยการปฏิเสธการรักษารวมทั้งงดกินยารักษาโรคทุกชนิด ทำให้ขาเริ่มบวมและมีแผลจากการถูกปูนกัดเท้า
ครูน้อย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ในฐานะที่ตนนั้นเป็นคนที่ครูวีนับถือเป็นพี่สาวคนหนึ่ง อยากวิงวอนให้ครูวีกลับมาที่ ต.บ้านค้อ ทุกคนพร้อมจะช่วยกันดูแลรักษาให้ถึงที่สุด เพราะตอนนี้ครูวีเท่ากับว่าไร้ญาติขาดมิตร หากครูวีเห็นข่าวนี้ก็ขอให้กลับมา พวกพี่ต้องการช่วยเหลือ ไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สินใด ๆ ทุกคนต่างเห็นใจครูวีทั้งนั้น กลับมาเถอะน้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก โหนกระแส
ภาพจาก โหนกระแส
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 โหนกระแส รายงานว่า ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.บ้านค้อ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม เกิดกรณีที่มีข่าวว่าครูลาออกไปเป็นกรรมกรก่อสร้างในกรุงเทพฯ หลังประสบมรสุมชีวิตอย่างเดียวดาย และล้มป่วยสารพัดโรค จึงตัดสินใจลาออกเพื่อรับเงินบำเหน็จนำไปใช้หนี้
จากการสอบถามรักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน เปิดเผยว่า ครูวี อายุ 45 ปี ครูชำนาญการพิเศษ สอนวิชาคณิตศาสตร์ ได้ลาออกจากราชการจริง ที่ผ่านมาแม้ว่าตนจะได้สัมผัสกับครูวีในระยะสั้น ๆ เนื่องจากเพิ่งย้ายมาปฏิบัติราชการได้ 6 เดือนเศษ แต่ครูวีมีความรับผิดชอบต่องานที่มอบหมายให้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ครูวี ลาออกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตอนนั้นเมื่อมีหนังสือขอลาออกวางไว้ที่โต๊ะของ ผอ. ครูทั้งโรงเรียนตกใจมาก ต่างโทรศัพท์สอบถามเหตุผลจากครูวี แต่เจ้าตัวตัดสินใจแล้ว จึงส่งหนังสือฉบับดังกล่าวเสนอต่อ สพม.นครพนม ลงนาม ทำให้ครูวีขาดจากข้าราชการครู โดยเวลานั้นไม่มีใครรู้ที่อยู่ของครูวี ตนยอมรับว่าจากเรื่องนี้ทำให้โรงเรียนขาดครูดี ๆ ไปหนึ่งคน แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจ
ครูรุ่นพี่ร่ำไห้ เล่ามรสุมชีวิตครูวี ย้ำไม่โกรธแม้สร้างหนี้ไว้ ห่วงสุขภาพ วอนกลับมานครพนม
ด้าน ครูน้อย สอนวิชาเคมี หนึ่งในคนที่ครูวีเคารพนับถือที่สุด เปิดใจว่า ครูวีเป็นคน จ.อุบลราชธานี หลังสอบข้าราชการครูได้ก็มาบรรจุที่นครพนมเป็นสถานที่แรก และปักหลักอยู่ถาวรนานถึง 22 ปี เท่ากับอายุราชการ
หลังจากเล่าถึงเรื่องนี้ ครูน้อย เริ่มมีน้ำตาไหลลอดแว่นตา ก่อนจะมีเสียงสะอื้นตามมา เนื่องจากสงสารในชะตากรรมของครูวี พร้อมเล่าว่า เมื่อก่อนครูวีเป็นคนสดใสร่าเริง ตนสนิทสนมกับน้องคนนี้ที่สุด ตนกับสามีเห็นว่าครูวีเป็นคนต่างถิ่น อยู่ตัวคนเดียว จึงชวนมากินข้าวที่บ้าน จนมีคนแซวว่าตนมีลูก 3 คน โดย 2 คนนั้นเป็นลูกจริง ๆ ส่วนคนที่ 3 คือครูวีนั่นเอง
กระทั่งครูวีสร้างบ้านหลังหนึ่งไว้เป็นเรือนหอกับแฟนสาวที่มีการหมั้นหมายกันไว้ แต่ต่อมาคุณแม่ครูวีล้มป่วยและเสียชีวิตที่ จ.อุบลราชธานี ครูวีจึงรับคุณพ่อและพี่ชายมาอยู่ด้วย ถึงตอนนี้เริ่มมีปัญหาชีวิต เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคไต ก่อนจะเสียชีวิตลงห่างจากคุณแม่เพียงปีเศษ ต่อมาพี่ชายครูวีก็ล้มป่วยอีกคน ครูวีต้องตัดสินใจขายบ้านเพื่อนำเงินมารักษาพี่ชาย ก่อนพี่ชายจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ภาพจาก โหนกระแส
หลังจากนั้นแฟนสาวได้ขอถอนหมั้น ให้เหตุผลว่าไปกันไม่ได้ ทำให้ครูวีเครียดเป็นทวีคูณ จากคนร่าเริงกลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ หันไปพึ่งเหล้าเป็นเพื่อน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และดื่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ตามด้วยโรคเบาหวาน ต้องกินยาตามแพทย์สั่ง แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดดื่มเหล้า กระทั่งป่วยด้วยโรคไตระยะสุดท้าย แพทย์บอกว่าต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 วัน แต่น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี จึงเป็นเหตุผลให้ครูวีปฏิเสธการรักษาทุกชนิด และเลิกกินยาลดความดันรวมทั้งโรคเบาหวาน
ไม่มีใครคาดคิดว่าครูวีจะยื่นหนังสือลาออก แม้จะมีการยื้อใบลาออกไว้เพื่อโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ ตนบอกว่าให้อดทนเอา อีก 2 ปีค่อยลาออกเพื่อได้บำนาญ หากลาออกตอนนี้จะได้แค่เงินบำเหน็จ และไม่ได้สิทธิ์รักษาพยาบาล แต่คิดว่าครูวีรู้ตัวว่าคงอยู่ไม่ถึง จึงเลือกที่จะขอลาออกเพื่อได้เงินบำเหน็จประมาณ 1.8 ล้านบาท ทราบว่านำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้หนี้นอกระบบ ส่วนเงินกู้ในระบบที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูมัธยมศึกษานครพนม จำนวน 3 ล้านบาท มีเพื่อนครูรวม 6 คน เซ็นค้ำประกัน หนึ่งในนั้นก็มีตนรวมอยู่ด้วย
หลังจากครูวีลาออกแล้ว ตนทราบว่าครูวีได้ไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในแคมป์คนงาน เป็นแรงงานไร้ฝีมือ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ด้านงานก่อสร้างมาก่อน และด้วยการปฏิเสธการรักษารวมทั้งงดกินยารักษาโรคทุกชนิด ทำให้ขาเริ่มบวมและมีแผลจากการถูกปูนกัดเท้า
ครูน้อย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ในฐานะที่ตนนั้นเป็นคนที่ครูวีนับถือเป็นพี่สาวคนหนึ่ง อยากวิงวอนให้ครูวีกลับมาที่ ต.บ้านค้อ ทุกคนพร้อมจะช่วยกันดูแลรักษาให้ถึงที่สุด เพราะตอนนี้ครูวีเท่ากับว่าไร้ญาติขาดมิตร หากครูวีเห็นข่าวนี้ก็ขอให้กลับมา พวกพี่ต้องการช่วยเหลือ ไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สินใด ๆ ทุกคนต่างเห็นใจครูวีทั้งนั้น กลับมาเถอะน้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก โหนกระแส