จีนผุดชาเลนต์ท้าวินัย ให้อยู่คนเดียวในห้อง มีกล้องจับ กำหนดเวลาใช้มือถือ อยู่ได้ครบเดือน รับ 1.8 ล้าน คนมองเหมือน Squid Game ก่อนรู้คือกับดัก
ด้วยลักษณะของชาเลนจ์นี้ที่ตั้งเงินรางวัลไว้สูงมาก ผู้ท้าชิงหลายคนจึงรู้สึกว่าคล้ายกับ Squid Game ที่ผู้ท้าชิงแต่ละคนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เพื่อคว้าเงินรางวัล อย่างไรก็ตาม อดีตผู้ท้าชิงหลาย ๆ คนได้ออกมาเปิดใจ ยอมรับว่านี่ไม่ใช่โอกาสทองสำหรับคนอยากรวย แต่แท้จริงแล้วคือกับดัก !
โดยเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 Jimu News รายงานว่า จางโหยวจือ ชายวัย 35 ปี จากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์จากการเข้าร่วมชาเลนจ์ดังกล่าว เขายอมรับว่าในตอนแรกที่ได้เห็นโฆษณาเกี่ยวกับชาเลนจ์นี้ เขาก็คิดว่าเป็นโอกาสทำเงินง่าย ๆ แต่เมื่อเขาเดินทางไปถึงเฉิงตู เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมจริง ๆ กลับพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
เมื่อไปถึง ทีมงานได้นำสัญญามาให้เขาเซ็น พร้อมอธิบายกฎต่าง ๆ ให้ฟัง ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวนั้น ไม่ใช่จะนอนหรือหลับได้ทั้งวัน ยังมีกฎระเบียบที่ผู้ท้าชิงสามารถทำได้ ทำไม่ได้ รวมถึง "สิ่งที่ต้องทำ" รายละเอียดทั้งหมดระบุไว้ในสัญญา โดยผู้เข้าร่วมจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 9,000 หยวน (ราว 41,000 บาท) ต่อการสมัครเข้าร่วมแต่ละครั้ง
สำหรับกฎระเบียบคร่าว ๆ ระบุว่า
- ผู้สมัครต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ในห้องที่จัดไว้
- ใบหน้าของผู้สมัครต้องปรากฏในกล้องวงจรปิดทั้งหมด โดยไม่ถูกปิดหรือบัง
- หากมีการปิดใบหน้า ต้องไม่เกินระยะเวลา 3 นาที มิเช่นนั้นจะถูกปรับแพ้ทันที
- สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ทุกวัน
- สามารถใช้โทรศัพท์ได้แค่ 3 นาที ระหว่างช่วงเวลา 10.00 - 11.00 น.
- ระหว่างร่วมกิจกรรม ห้ามติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก
- ห้ามพูดคุยกับทีมงาน
และยังมีกฎระเบียบยิบย่อยอีกมากมาย ซึ่งหากมีการละเมิดกฎจะถูกปรับแพ้ทันที ระหว่างที่ทีมงานอธิ บายกฎ จางโหยวจือก็เอาแต่พยักหน้า ทั้งที่เข้าใจกฎเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขายังคิดว่า "มีกฎมากเกินไป มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่จำได้หมด"
สำหรับเวลาในการเริ่มชาเลนจ์ ผู้ท้าชิงสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง จางโหยวจือจึงตกลงที่จะเริ่มชาเลนจ์ของเขาในเวลา 01.00 น. เพื่อที่จะได้นอนหลับฆ่าเวลาไปสัก 7-8 ชั่วโมง
หลังจ่ายเงินไป 9,000 หยวน เขาก็นำกระเป๋ามาไว้ที่ห้องก่อน โดยห้องที่ทีมงานจัดไว้คือห้องมาตรฐานในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ทีมงานอธิบายให้เขาฟังว่ากล้องมองเห็นตรงไหน ส่วนไหนคือมุมที่กล้องไม่เห็น ซึ่งเขาก็รับรู้ จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำและเข้านอน โดยเขานอนหันหน้าเข้าหากล้อง และนอนเกร็งอยู่ทั้งคืนแทบไม่กล้าขยับ ไม่กล้าเอาผ้าห่มปิดหน้า จนเมื่อถึงตอนเช้าเขาก็ทบทวนอีกครั้งว่าไม่ได้ละเมิดกฎใด
แต่แล้วอยู่ ๆ ทีมงานก็นำภาพจากกล้องวงจรปิดเข้ามา แจ้งว่าเขาแพ้แล้ว พร้อมอธิบายว่าเขาวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในระยะที่กล้องมองเห็น ซึ่งตามกฎจะต้องวางไว้ในจุดที่กล้องไม่เห็น
จางโหยวจือ คิดว่าตัวเองพลาดไป แค่ระวังให้ดี ๆ ก็น่าจะชนะได้ไม่ยาก เขาตกลงจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมอีก 9,000 หยวน ในวันนั้นแล้วขอทำชาเลนจ์ต่อ แต่แล้วเขาก็แพ้อีกด้วยกฎการใช้โทรศัพท์มือถือ โดยตามกฎนั้นสามารถใช้โทรศัพท์ได้ 1 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง ทุกวัน เป็นเวลาไม่เกิน 3 นาที ภายในช่วง 10.00 - 11.00 น. ซึ่งในตอนที่เขาใช้โทรศัพท์ครั้งแรกก็ไม่มีปัญหา แต่แล้วในเวลา 10.00 น. วันต่อมา เขาหยิบโทรศัพท์มาใช้อีกครั้ง ทำให้ถูกปรับแพ้
เมื่อได้ฟังเหตุผลเขาก็โกรธจัด กลายเป็นว่าเขาสามารถใช้โทรศัพท์ได้ 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมงของทุกวัน หากครั้งแรกเขาใช้ตอน 10.00 - 10.03 น. ครั้งต่อไปเขาสามารถใช้ได้อีกครั้งเวลา 10.04 น. หากใช้เร็วกว่านั้นสัก 1 นาที จะถูกนับว่าใช้โทรศัพท์ 2 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
แม้จะไม่พอใจ จากฎที่ดูคล้ายการเล่นคำ แต่เขาก็มุ่งมั่นว่าจะไม่ทำพลาดอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกปรับแพ้อีกจากการใช้โทรศัพท์ รวมถึงถูกปรับแพ้เพราะผ้าห่มปิดหน้าตอนหลับ จนท้ายที่สุดหลังถูกปรับแพ้ถึง 7 รอบ เสียเงินไปมากร่วม 63,000 หยวน (ราว 291,000 บาท) จางโหยวจือซึ่งกำลังตกงานและต้องการเงิน ก็ยิ่งมีสภาพย่ำแย่
เขาประกาศตอนนั้นว่าจะฟ้องทางผู้จัด และได้ยื่นฟ้องคดีแล้วในช่วงสิ้นปี 2567 เพื่อขอให้สัญญาเข้าร่วมชาเลนจ์เป็นโมฆะ โดยต้องคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้เขา ซึ่งมีกำหนดพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2568
ไม่เพียงแค่จางโหยวจือ ยังมีผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ที่ตกหลุมพรางของชาเลนจ์ดังกล่าว พวกเขาเองมีเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมเหมือน ๆ กัน นั่นคือมีสภาพการเงินที่ค่อนข้างตึง และถูกกระตุ้นให้เข้าร่วมชาเลนจ์ด้วยคำโฆษณา อ้างว่าจ่ายเงินค่าสมัครแค่เล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนเป็นโบนัสก้อนใหญ่ได้
แต่กลายเป็นว่าเงื่อนไขในการปรับแพ้ในสัญญานั้นคลุมเครือและไม่ชัดเจน ทีมงานยังใช้หลาย ๆ วิธีมาหลอกล่อผู้ท้าชิงให้ละเมิดกฎ เช่นแกล้งพูดคุยกับผู้ท้าชิง ทั้งที่ตามกฎห้ามคุยกัน หากผู้ท้าชิงไม่ตกหลุมพรางก็จะแกล้งปิดประตูห้องไม่สนิท ทำให้ผู้ท้าชิงต้องมาปิดประตูเอง ซึ่งเท่ากับผิดกฎ เพราะกฎระบุไว้ไม่ให้พวกเขาจับลูกบิดประตู
ขอบคุณข้อมูลจาก Jimu News
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
ไม่นานมานี้ในประเทศจีนมีกระแสการพูดถึงชาเลนจ์การฝึกวินัยในตนเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยชูสโลแกน "แค่ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ในห้องที่เตรียมไว้เป็นเวลา 1 เดือน ถ้าชนะรับไปเลย 400,000 หยวน (ราว 1.8 ล้านบาท)" ซึ่งมาพร้อมกับเงื่อนไขให้ผู้ท้าชิงร่วมท้าทายความมีวินัย ใช้ชีวิตตามกฎระเบียบที่วางไว้ แน่นอนว่ามันฟังดูเหมือนเรื่องง่าย ๆ ที่คล้ายกับโอกาสทองในการคว้าเงินก้อน แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยลักษณะของชาเลนจ์นี้ที่ตั้งเงินรางวัลไว้สูงมาก ผู้ท้าชิงหลายคนจึงรู้สึกว่าคล้ายกับ Squid Game ที่ผู้ท้าชิงแต่ละคนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เพื่อคว้าเงินรางวัล อย่างไรก็ตาม อดีตผู้ท้าชิงหลาย ๆ คนได้ออกมาเปิดใจ ยอมรับว่านี่ไม่ใช่โอกาสทองสำหรับคนอยากรวย แต่แท้จริงแล้วคือกับดัก !
โดยเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 Jimu News รายงานว่า จางโหยวจือ ชายวัย 35 ปี จากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์จากการเข้าร่วมชาเลนจ์ดังกล่าว เขายอมรับว่าในตอนแรกที่ได้เห็นโฆษณาเกี่ยวกับชาเลนจ์นี้ เขาก็คิดว่าเป็นโอกาสทำเงินง่าย ๆ แต่เมื่อเขาเดินทางไปถึงเฉิงตู เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมจริง ๆ กลับพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
เมื่อไปถึง ทีมงานได้นำสัญญามาให้เขาเซ็น พร้อมอธิบายกฎต่าง ๆ ให้ฟัง ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวนั้น ไม่ใช่จะนอนหรือหลับได้ทั้งวัน ยังมีกฎระเบียบที่ผู้ท้าชิงสามารถทำได้ ทำไม่ได้ รวมถึง "สิ่งที่ต้องทำ" รายละเอียดทั้งหมดระบุไว้ในสัญญา โดยผู้เข้าร่วมจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 9,000 หยวน (ราว 41,000 บาท) ต่อการสมัครเข้าร่วมแต่ละครั้ง
สำหรับกฎระเบียบคร่าว ๆ ระบุว่า
- ผู้สมัครต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ในห้องที่จัดไว้
- ใบหน้าของผู้สมัครต้องปรากฏในกล้องวงจรปิดทั้งหมด โดยไม่ถูกปิดหรือบัง
- ต้องไม่ออกไปพ้นระยะกล้องวงจรปิด
- สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ทุกวัน
- สามารถใช้โทรศัพท์ได้แค่ 3 นาที ระหว่างช่วงเวลา 10.00 - 11.00 น.
- ระหว่างร่วมกิจกรรม ห้ามติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก
- ห้ามพูดคุยกับทีมงาน
และยังมีกฎระเบียบยิบย่อยอีกมากมาย ซึ่งหากมีการละเมิดกฎจะถูกปรับแพ้ทันที ระหว่างที่ทีมงานอธิ บายกฎ จางโหยวจือก็เอาแต่พยักหน้า ทั้งที่เข้าใจกฎเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขายังคิดว่า "มีกฎมากเกินไป มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่จำได้หมด"
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
สำหรับเวลาในการเริ่มชาเลนจ์ ผู้ท้าชิงสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง จางโหยวจือจึงตกลงที่จะเริ่มชาเลนจ์ของเขาในเวลา 01.00 น. เพื่อที่จะได้นอนหลับฆ่าเวลาไปสัก 7-8 ชั่วโมง
หลังจ่ายเงินไป 9,000 หยวน เขาก็นำกระเป๋ามาไว้ที่ห้องก่อน โดยห้องที่ทีมงานจัดไว้คือห้องมาตรฐานในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ทีมงานอธิบายให้เขาฟังว่ากล้องมองเห็นตรงไหน ส่วนไหนคือมุมที่กล้องไม่เห็น ซึ่งเขาก็รับรู้ จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำและเข้านอน โดยเขานอนหันหน้าเข้าหากล้อง และนอนเกร็งอยู่ทั้งคืนแทบไม่กล้าขยับ ไม่กล้าเอาผ้าห่มปิดหน้า จนเมื่อถึงตอนเช้าเขาก็ทบทวนอีกครั้งว่าไม่ได้ละเมิดกฎใด
แต่แล้วอยู่ ๆ ทีมงานก็นำภาพจากกล้องวงจรปิดเข้ามา แจ้งว่าเขาแพ้แล้ว พร้อมอธิบายว่าเขาวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในระยะที่กล้องมองเห็น ซึ่งตามกฎจะต้องวางไว้ในจุดที่กล้องไม่เห็น
จางโหยวจือ คิดว่าตัวเองพลาดไป แค่ระวังให้ดี ๆ ก็น่าจะชนะได้ไม่ยาก เขาตกลงจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมอีก 9,000 หยวน ในวันนั้นแล้วขอทำชาเลนจ์ต่อ แต่แล้วเขาก็แพ้อีกด้วยกฎการใช้โทรศัพท์มือถือ โดยตามกฎนั้นสามารถใช้โทรศัพท์ได้ 1 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง ทุกวัน เป็นเวลาไม่เกิน 3 นาที ภายในช่วง 10.00 - 11.00 น. ซึ่งในตอนที่เขาใช้โทรศัพท์ครั้งแรกก็ไม่มีปัญหา แต่แล้วในเวลา 10.00 น. วันต่อมา เขาหยิบโทรศัพท์มาใช้อีกครั้ง ทำให้ถูกปรับแพ้
เมื่อได้ฟังเหตุผลเขาก็โกรธจัด กลายเป็นว่าเขาสามารถใช้โทรศัพท์ได้ 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมงของทุกวัน หากครั้งแรกเขาใช้ตอน 10.00 - 10.03 น. ครั้งต่อไปเขาสามารถใช้ได้อีกครั้งเวลา 10.04 น. หากใช้เร็วกว่านั้นสัก 1 นาที จะถูกนับว่าใช้โทรศัพท์ 2 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
แม้จะไม่พอใจ จากฎที่ดูคล้ายการเล่นคำ แต่เขาก็มุ่งมั่นว่าจะไม่ทำพลาดอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกปรับแพ้อีกจากการใช้โทรศัพท์ รวมถึงถูกปรับแพ้เพราะผ้าห่มปิดหน้าตอนหลับ จนท้ายที่สุดหลังถูกปรับแพ้ถึง 7 รอบ เสียเงินไปมากร่วม 63,000 หยวน (ราว 291,000 บาท) จางโหยวจือซึ่งกำลังตกงานและต้องการเงิน ก็ยิ่งมีสภาพย่ำแย่
เขาประกาศตอนนั้นว่าจะฟ้องทางผู้จัด และได้ยื่นฟ้องคดีแล้วในช่วงสิ้นปี 2567 เพื่อขอให้สัญญาเข้าร่วมชาเลนจ์เป็นโมฆะ โดยต้องคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้เขา ซึ่งมีกำหนดพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2568
ไม่เพียงแค่จางโหยวจือ ยังมีผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ที่ตกหลุมพรางของชาเลนจ์ดังกล่าว พวกเขาเองมีเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมเหมือน ๆ กัน นั่นคือมีสภาพการเงินที่ค่อนข้างตึง และถูกกระตุ้นให้เข้าร่วมชาเลนจ์ด้วยคำโฆษณา อ้างว่าจ่ายเงินค่าสมัครแค่เล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนเป็นโบนัสก้อนใหญ่ได้
แต่กลายเป็นว่าเงื่อนไขในการปรับแพ้ในสัญญานั้นคลุมเครือและไม่ชัดเจน ทีมงานยังใช้หลาย ๆ วิธีมาหลอกล่อผู้ท้าชิงให้ละเมิดกฎ เช่นแกล้งพูดคุยกับผู้ท้าชิง ทั้งที่ตามกฎห้ามคุยกัน หากผู้ท้าชิงไม่ตกหลุมพรางก็จะแกล้งปิดประตูห้องไม่สนิท ทำให้ผู้ท้าชิงต้องมาปิดประตูเอง ซึ่งเท่ากับผิดกฎ เพราะกฎระบุไว้ไม่ให้พวกเขาจับลูกบิดประตู
ขอบคุณข้อมูลจาก Jimu News






