กฎหมายใหม่คุมเข้มบริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศ ปิดช่องโหว่อาชญากรรมไซเบอร์

           พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับผู้ให้บริการในวงการคริปโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการจากต่างประเทศที่มีลูกค้าอยู่ในประเทศไทย แม้ว่าก่อนหน้านี้ประเทศไทยจะมีกฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้ว แต่การประกาศฉบับนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่เน้นการควบคุมภายนอกประเทศ ที่เจาะจงถึงการให้บริการแก่บุคคลในราชอาณาจักร โดยไม่จำเป็นว่าผู้ให้บริการนั้นจะมีถิ่นฐานในไทยหรือไม่ ความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการกำกับดูแลที่เข้มข้นและสอดคล้องกับสถานการณ์โลก ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในเชิงอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ
กฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล

          หนึ่งในแรงผลักดันที่สำคัญของพระราชกำหนดนี้คือ ความพยายามในการสกัดกั้นภัยจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่แฝงตัวมากับระบบการเงินรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน การฉ้อโกง หรือการระดมทุนที่ผิดกฎหมายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ โดยการที่กฎหมายระบุให้ผู้ประกอบการต่างชาติที่มีการใช้ภาษาไทยบนแพลตฟอร์ม หรือมีโดเมนที่สื่อถึงประเทศไทย แม้กระทั่งรองรับการชำระเงินด้วยสกุลเงินบาทไทย ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ก.ล.ต. นั้น เป็นเครื่องยืนยันว่ารัฐไทยกำลังจริงจังกับการควบคุมเส้นทางเงินดิจิทัลอย่างเข้มงวดและทั่วถึงมากขึ้น โดยไม่ปล่อยให้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์เป็นช่องว่างให้ผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาส

          การขยายกรอบการควบคุมในพระราชกำหนดฉบับใหม่นี้รวมไปถึง “บริการจากต่างประเทศ” และยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการปรับตัวของกฎหมายระหว่างโลกจริงกับโลกดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ผู้ให้บริการรายใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ แต่ผู้ใช้งานทั่วไปก็จำเป็นต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เพราะการเลือกใช้แพลตฟอร์มต่างประเทศโดยไม่รู้เงื่อนไขอาจทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งทางกฎหมายและการเงินโดยไม่รู้ตัว ยิ่งในยุคที่คนจำนวนมากเริ่มหันมาใช้
กระเป๋าบิทคอยน์ในการถือครองและแลกเปลี่ยนคริปโตแทนการพึ่งพาเงินสดแบบดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายนี้ก็ยิ่งควรถูกจับตามองมากขึ้น

          ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลควรเร่งปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการละเมิดกฎหมาย ทั้งในด้านการออกแบบเว็บไซต์ การเลือกชื่อโดเมน ไปจนถึงช่องทางรับชำระเงินและการให้บริการลูกค้า เพราะไม่ว่าจะตั้งสำนักงานที่ใดในโลก หากมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายให้บริการแก่คนไทยก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยเช่นเดียวกัน นี่คือสัญญาณชัดเจนที่สะท้อนว่าไทยไม่ได้ต้องการปิดกั้นเทคโนโลยีใหม่ แต่ต้องการจัดระเบียบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและผู้ใช้งานแต่ละรายในระยะยาว

          แม้พระราชกำหนดฉบับนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการจัดระเบียบในระดับสากล แต่ก็ถือว่าเป็นการส่งสารที่หนักแน่นไปยังอุตสาหกรรมคริปโตทั่วโลกว่า
ประเทศไทยเอาจริงกับการปราบปรามความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล ด้วยวิธีที่ชัดเจน มีเกณฑ์วัดผล และเน้นความปลอดภัยเป็นหลักมากกว่าการควบคุมแบบไร้ทิศทาง แน่นอนว่าในระยะสั้นอาจเกิดผลกระทบในแง่ของการปรับตัวและความไม่สะดวกของผู้ให้บริการบางราย แต่ในระยะยาวแล้วกลไกนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้นในประเทศไทยนั่นเอง

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กฎหมายใหม่คุมเข้มบริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศ ปิดช่องโหว่อาชญากรรมไซเบอร์ อัปเดตล่าสุด 29 เมษายน 2568 เวลา 16:21:46 1,447 อ่าน
TOP