x close

ประวัติ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2008

เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก lomtoe.com 

          ได้ฤกษ์ระเบิดศึกรอบสุดท้ายกันแล้ว  สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 13 หรือที่แฟนบอลเรียกกันสั้นๆ ว่า ฟุตบอลยูโร 2008 ซึ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน – 29 กรกฎาคม 2008 ....วันนี้เราจึงขอเกาะติดกระแสยูโรฟีเวอร์ด้วยคน โดยรวบรวมประวัติความเป็นมาของฟุตบอลยูโรจากอดีตถึงปัจจุบัน  รวมทั้งแกะรอย 16 ทีมที่ผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย มาฝากแฟนบอลตัวจริงกันค่ะ

ประวัติความเป็นมา

          ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (European Football Championship) หรือ ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการหลักของประเทศในทวีปยุโรป เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีเท้าในการเป็นจ้าวแห่งวงการลูกหนังทวีปยุโรป จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ปี และอยู่ในการกำกับดูแลของ European Football Association หรือ ยูฟ่า (UEFA)   

ปี 1956

          เป็นปีต้นกำเนิดของ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยใช้ชื่อทัวร์นาเม้นท์ว่า "European Nations' Cup" จากนั้นอีกสองปีจึงเปลี่ยนมาใช้ "UEFA European Championship" ดังเช่นที่รู้จักกันในปัจจุบัน แต่เดิมนั้นรูปแบบของการแข่งขันของ “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” นั้น จะมีระบบการแข่งขันที่แตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยจะแข่งกันแบบทีมเหย้าและทีมเยือนโดยนับผลแพ้ชนะตกรอบ จนถึงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งจะทำการแข่งขันในประเทศที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ

ปี 1960 

          ประเทศฝรั่งเศส เป็นชาติแรกที่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในศักราชใหม่ คือ มีชาติยุโรปส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 17 ทีม โดยมีเมือง มาร์กเซย และ ปารีส เป็นสังเวียนฟาดแข้งในรอบรองชนะเลิศ, ชิงอันดับสาม และชิงชนะเลิศ และก็เป็นขุนพลลูกหนังของประเทศสหภาพโซเวียต ที่คว้าแชมป์จ้าวยูโรปไปครองได้เป็นชาติแรกด้วยการเฉือนชนะ ทีมชาติ ยูโกสลาเวีย ไป 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ท่ามกลางแฟนบอลที่เป็นสักขีพยานในสนาม สต๊าด ปาร์ค เดอ ปริ๊นซ์ ในกรุงปารีส กว่า 18,000 คน

ปี 1980 

          มีการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขัน 8 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพ จะถูกแบ่งออกเป็นสองสายและแข่งแบบพบกันหมด จากนั้นจึงทีมที่มีคะแนนสูงสุดจะเข้าสู่รอบสุดท้ายที่อิตาลีซึ่งในปีนั้น เยอรมนี เข้าไปพบ เบลเยี่ยมในรอบสุดท้ายที่กรุงโรม และขุนพลนาซีครองแชมป์ด้วยสองประตูของ ฮอร์สต์ ฮรูเบซ พาให้เยอรมนีครองชัยในปีนั้น ด้วยสกอร์ 2-1

ปี 1984 

          มีการยกเลิกการชิงตำแหน่งที่สามจากการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้และทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาทีมที่แพ้ในรอบรองชนะเลิศจะไม่ต้องมาเตะชิงที่สามกันรวมทั้งยกเลิกทีมอันดับสามออกจากรายการแข่งขันไปด้วย ทำให้คงเหลือแต่ตำแหน่งแชมป์ กับ รองแชมป์ ที่ผ่านเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศได้เท่านั้น

ปี 1996

          การแข่งขันฟุตบอลแห่งชาติยุโรปเริ่มได้รับความสนใจจากประเทศน้อยใหญ่ที่อยู่ในเครือข่ายมากขึ้น มีทีมที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมการแข่งขันถึง 48 ทีม รูปแบบการแข่งขันจึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง จาก 48 ทีม ฝ่ายจัดการแข่งขันและฟีฟ่าได้ตัดสินใจเพิ่มโควต้าทีมในรอบสุดท้ายเป็น 16 ทีมเป็นครั้งแรก เพื่อพาเหรดกันเข้าสู่เกาะอังกฤษเพื่อแข่งขันในรอบสุดท้าย 

          โดยการแข่งขันยูโรฯ รอบสุดท้ายในครั้งนั้น รอบแรกแบ่งออกเป็นสี่สายและทีมที่มีคะแนนอันดับที่หนึ่งและสองก็จะเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งใช้ระบบแพ้ตกรอบ จากนั้นก็จะทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศซึ่งมีสี่ทีม และคู่ชิง 

          นอกจากนี้ยังได้มีการนำกฎ “โกลเด้นโกล” มาใช้งานเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในครั้งนี้ด้วย โดยแชมป์ในครั้งนั้นก็คือ ทีมชาติเยอรมันนี หลังจากโอลิเวอร์ เบียโฮฟ ดาวยิงประจำทีม ซัดประตู "โกลด์เด้นโกล" ประวัติศาสตร์ เฉือนเอาชนะ สาธารณรัฐเช็กไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษในรอบชิงชนะเลิศ

ปี 2000 

          ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรวมไปถึงการรายการฟุตบอลระดับนานาชาติที่มีสองชาติเป็นเจ้าภาพร่วมกันจัดการแข่งขัน นั่นคือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ เบลเยี่ยม ปรากฎการดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (International Football Association) หรือ ฟีฟ่า (FIFA) จะตัดสินให้ ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วม ในการจัดฟุตบอลโลกในอีก 2 ปีถัดมา 

          อย่างไรก็ตาม ชาติที่ได้ครองแชมป์ในปี 2002 นั่นคือ ทีม "ตราไก่" ฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นการครองถ้วย อองรี เดอลานี่ย์ เป็นครั้งที่สองของทีมหลังจากที่ดาวิด เทรเซเกล ดาวยิงตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมา ซัดประตู "โกลเด้นโกล" เฉือน ทีม "อัซซูรี่ " อิตาลี ไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ปี 2004

          ประเทศโปรตุเกส เป็นเจ้าภาพ ได้มีการยกเลิกกฎ "โกล์เด้นโกล์" และนำกฎ "ซิลเวอร์โกล์" มาใช้แทน โดยแต่เดิมนั้นกฎ "โกลเด้นโกล์" จะใช้ในกรณีที่คู่แข่งขันลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที ซึ่งหากทีมใดทำประตูได้ก่อนในช่วงเวลาดังกล่าว เกมก็จะยุติทันที 

          ขณะที่ กฎ "ซิลเวอร์โกล" นั่น จะใช้ในกรณีที่คู่แข่งขันลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาทีเช่นกัน แต่ต่างตรงที่ หากทีมได้ทำประตูได้ก่อนเกมจะยังไม่ยุติทันที แต่จะรอให้หมดเวลาในช่วงต่อเวลาพิเศษในครึ่งแรก 15 นาทีเสียก่อน เกมถึงจะยุติ นั่นหมายความว่า ยังให้โอกาสทีมที่โดนนำทำประตูตีคืนให้ได้ในช่วงเวลาที่เหลือดังกล่าวนั่นเอง 

          สำหรับการแข่งขันในปีนั้น ได้มีการนำ กฏ "ซิลเวอร์โกล" มาใช้เพียงครั้งเดียวในรอบก่อนรองชนะเลิศในเกมระหว่าง ทีมชาติกรีซ พบกับ สาธารณรัฐเช็ก ก่อนที่ ทีมจากดินแดนเทพนิยายจะเอาชนะไปได้ และก้าวไปคว้าแชมป์ยูโรได้เป็นสมัยแรกของทีมได้อย่างยิ่งใหญ่ ในท้ายที่สุด ด้วยลูกโหม่งของ จอร์จ อันดราเด้ เซ็นเตอร์แบ็ค ปลิดชีพ ทีมเจ้าภาพอย่างโปรตุเกส ไปด้วยสกอร์ 1-0 พร้อมกับสร้างตำนานอีกหน้าหนึ่งให้กับรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปให้กล่าวขวัญถึงอีกนานเท่านาน

ปีล่าสุด 2008

          การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 โดยมีประเทศ ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการจัด ฟุตบอลยูโร 2008 รอบสุดท้าย ซึ่งจะระเบิดศึกขึ้นในระหว่างวันที่ 7 มิถุนายน ถึง 29 กรกฎาคม 2008 โดยมี 16 ชาติแกร่งที่ต้องฝ่าด่านอรหัตน์จากรอบคัดเลือกกว่า 51 ทีมทั่วทวีปยุโรป ที่ทำการแข่งขันตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2006 เป็นต้นมา จนสามารถผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้ สำหรับประเทศเจ้าภาพจะได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบโดยอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ จะเป็น 2 ทีมแรกที่เข้าไปรอบนสังเวียนเรียบร้อยแล้ว ทำให้เหลือตั๋วเพียง 14 ใบเท่านั้น ที่ทีมต่างๆ จะต้องแย่งชิงมาครองให้ได้

          อาจกล่าวได้ว่า การเป็นเจ้าภาพร่วมสองชาติระหว่าง ออสเตรียและ สวิตเซอร์แลนด์ ในครั้งนี้ ถือเป็นความไว้วางใจจากสมาคมฟุตบอลยุโรป ในการตัดสินใจให้มีเจ้าภาพร่วมกันเป็นครั้งที่สามแล้ว นับตั้งแต่จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ ประเทศ เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพร่วมกันมาแล้วในปี 2000 นอกจากนี้ ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 2012 ประเทศโปแลนด์ และ ยูเครน จะได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมอีกครั้งเช่นกัน



แกะรอย 16 ทีมสุดท้าย สู้ศึกยูโร 2008 

          แม้ว่าการตกรอบของทีม "สิงโตคำราม" อังกฤษ จะถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียหายและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่เกมการแข่งขันก็ยังต้องดำเนินกันต่อไป เพราะทีมที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ล้วนแล้วแต่ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นทีมคุณภาพของแท้  แต่จะมีใครกันบ้าง และใครกันมีโอกาสแค่ไหนในการผงาดคว้าแชมป์ ..ไปดูกันเลยยย....

ออสเตรีย  

          ออสเตรีย ได้ผ่านเข้ารอบโดยอัตโนมัติในฐานะเจ้าภาพร่วม และก่อนหน้านี้ไม่ชนะใครเลยในนัดกระชับมิตรรวม 9 นัดด้วยก่อน ก่อนจะควานหาชัยชนะเจอด้วยการเอาชนะ ไอวอรี่ โคสต์ เมื่อเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตาม โจเซฟ ฮิกเกอร์สแบร์เกอร์ ยังได้รับความไว้วางใจให้คุมทีมต่อไป อัตราเป็นแชมป์ 66-1

โครเอเชีย

          แม้ว่าบุคคลิกภาพของ "สลาเวน บิลิช" จะดูเป็นร็อกสตาร์ มากกว่าผู้จัดการทีม แต่ผลงานในรอบคัดเลือกแสดงให้เห็นแล้วว่า โครเอเชีย ทีมนี้ไม่ธรรมดา ทีมเวิร์ก ความสามารถเฉพาะตัวไม่เป็นรองใคร และ "เอ็ดดูอาร์โด้ ดา ซิลวา" กองหน้าตัวเก่งที่ค้าแข้งอยู่กับ อาร์เซนอล ก็มีสิทธิ์แจ้งเกิดได้ในยูโร 2008 รอบสุดท้าย อัตราเป็นแชมป์ 33-1

สาธารณรัฐเช็ก

          เป็นทีมม้ามืดที่ไม่มีใครกล้ามองข้าม สาธารณรัฐเช็ก เล่นได้อย่างน่าตื่นตา เปี่ยมคุณภาพ มีศิลปินลูกหนังชั้นยอดอย่าง โธมัส โรซิกกี้ มีดาวยิงชั้นเลิศอย่าง แยน โคลเลอร์ และในเกมรอบคัดเลือกเมื่อเดือนต.ค. ก็เอาชนะ เยอรมัน มาแล้ว 3-0  อัตราเป็นแชมป์ 20-1

ฝรั่งเศส   

          "ตราไก่" ผ่านเข้ารอบมาได้อย่างเต็มกลืน แถมแพ้สกอตแลนด์ คาปารีส อีกต่างหาก แต่เมื่อมองจากนักเตะที่มีทั้ง เธียร์รี่ อองรี, ฟลอร็องต์ มาลูด้า และ นิโคล่าส์ อเนลก้า จะมองข้าม ฝรั่งเศสได้อย่างไร อัตราเป็นแชมป์ 8-1

เยอรมัน

          โจอาคิม เลิฟ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเมื่อช่วยให้ "อินทรีเหล็ก" เป็นทีมแรกที่ตีตั๋วเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย มิโรสลาฟ โคลเซ่, ลูคัส โพโดลสกี้, มิชาเอล บัลลัก คือพลังขับเคลื่อนชั้นดีของทีม อัตราเป็นแชมป์ 11-2

กรีซ 

          กรีซ เป็นแชมป์เก่ารายการนี้และในรอบคัดเลือกก็แสดงให้เห็นว่าการได้แชมป์ยูโร 2004 ไม่ใช่เรื่องฟลุก ธีโอฟานิส เกคาส เป็นดาวยิงอันตรายของยุโรป อัตราเป็นแชมป์ 50-1

ฮอลแลนด์

          "กังหันสีส้ม" อันตรายเสมอ ยิ่งตอนนี้ผู้เล่นอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน, เวสลีย์ ชไนเดอร์, รุด ฟาน นิสเตลรอย เล่นเคียงข้างกันตลอดเวลาในทีมรีล มาดริด ใครจะกล้ามองข้ามฮอลแลนด์ อัตราเป็นแชมป์ 6-1

อิตาลี

          ทีม "อัซซูรี่" มีดีกรีเป็นแชมป์โลก มีดาวยิงอย่าง "ลูก้า โทนี่" มีมิดฟิลด์ตัวชนอย่าง "เจนนาโกร่ กัตตูโซ่" และเกมรับอันปึ้กเหลือหลาย ไม่แปลกที่อิตาลีเป็นเต็งหามที่จะลุ้นแชมป์ยูโร อัตราเป็นแชมป์ 7-1

โปแลนด์

          สไตล์การเล่นของโปแลนด์อาจจะไม่หวือหวา แต่ฟอร์มการเล่นก็มั่นคง แน่นอน และ "ยูเซบิอุสซ์ สโมลาเร็ก, มาเซจ ซูรอว์สกี้" เป็นดาราประจำทีมที่ฟอร์มหวือหวาเหลือเกิน อัตราเป็นแชมป์ 50-1

โปรตุเกส

          ในฟุตบอลโลก 2006 โปรตุเกส เล่นได้อย่างน่าประทับใจมาก และ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ก็ทำทีมได้อย่างน่าประทับใจ และ "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" ก็ฟอร์มขึ้นเหลือเกิน อัตราเป็นแชมป์ 12-1

โรมาเนีย

          โรมาเนีย กลับมาลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี มี คริสเตียน คิวู,บ็อกดาน โลบอนต์ และ คอสมิน คอนตร้า ที่เด่นมากในเกมรอบคัดเลือก อัตราเป็นแชมป์ 28-1

รัสเซีย

          
ทีม "หมีขาว" ในยุคของ กุส ฮิดดิงก์ เป็นทีมพลังหนุ่มแห่งอนาคต การเขี่ย อังกฤษ ตกรอบถือว่าเป็นผลงานที่น่าทึ่งไม่เบา และเป็นทีมที่ห้ามเผลอ เหม่อประมาทเด็ดขาด  อัตราเป็นแชมป์ 150-1

สเปน

          เมื่อมองผู้เล่นอย่าง "ดาวิด บีย่า, เฟอร์นันโด ตอร์เรส, เซส ฟาเบรกาส" ที่พัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง หากฟอร์มเข้าที่และมีโชคเข้าข้าง "กระทิงดุ" เป็นอีกทีมที่มีโอกาสมองไปถึงแชมป์ได้เลย  อัตราเป็นแชมป์ 7-1

สวีเดน

          แม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงรุ่งเรืองสุดสุด แต่สวีเดน ยังแกร่งทั่วแผ่นเหมือนเดิม มี "ซลาตัน อิบราฮิโมวิช" เป็นดาวยิงที่กองหลังทุกทีมต้องครั่นคร้าม  อัตราเป็นแชมป์ 25-1

สวิตเซอร์แลนด์

          ทีม "แดนนาฬิกา" เป็นเจ้าภาพร่วมอีกทีมซึ่งมีฟอร์มแข็งแกร่งกว่า ออสเตรีย ค่อนข้างมาก และมีนักเตะหนุ่มที่กำลังพัฒนาอยู่มากมาย จะเป็นทีมที่ใครเจอก็ต้องเหนียวคอ  อัตราเป็นแชมป์ 22-1

ตุรกี

          ตุรกีอาจเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 ในรอบคัดเลือกเนื่องจากผลงานเป็นรองกรีซ แต่ในรอบสุดท้ายความเขี้ยวของนักเตะในทีมอาจจะช่วยให้ตุรกีเป็นทีมที่สามารถพลิกล็อก "ล้มยักษ์" ได้ทุกเมื่อ

          เอาล่ะค่ะ มีให้เลือกชมเลือกเชียร์กันตั้ง 16 ชาติ   สำหรับ ยูโร 2008 ในปีนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วใครจะเจ๋งจริงจนสามารถคว้าแชมป์ปีนี้ไปครองได้สำเร็จ จะเป็นเต็งหนึ่งอย่างอินทรีเหล็กเยอรมัน หรือเต็งสองอิตาลี ตามที่สื่อเมืองนอกเค้าจัดให้หรือไม่นั้น เหล่าบรรดาสาวกของแต่ละทีมก็ต้องตามลุ้น ตามเชียร์ชนิดติดขอบกันเอาเองนะจ๊ะ...ก็อย่างว่าแหละ ...ลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ 


        ติดตามข่าวคราว ความเคลื่อนไหวในวงการฟุตบอล ฟุตบอล ยูโร 2008 ได้ที่นี่ค่ะ

ข้อมูลจาก
 
- lomtoe.com


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ประวัติ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2008 อัปเดตล่าสุด 7 มิถุนายน 2551 เวลา 15:50:41 28,720 อ่าน
TOP