เปิดชีวิตในศูนย์สแกมเมอร์ปอยเปต ลวงคนญี่ปุ่นมาทำงาน หลอกคนชาติตัวเอง สิ่งอำนวยความสะดวกมีแค่ไหน ทำงานกันยังไง ชี้หามาได้เท่าไหร่ ก็ใช้ไปเกือบหมด
.jpg)
หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวตำรวจญี่ปุ่น จับกุมผู้ต้องสงสัย 29 คน ในคดีฉ้อโกงหลังถูกส่งตัวจากกัมพูชากลับมาดำเนินคดีในญี่ปุ่น ซึ่งพบว่าผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้ทำงานอยู่ในแก๊งสแกมเมอร์ที่ปอยเปต โดยมุ่งเป้าหลอกลวงคนชาติเดียวกันนั้น
ล่าสุด (29 กันยายน 2568) เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์ อ้างอิงรายงานจากเจแปนนิวส์ เปิดโปงเบื้องหลังการทำงานของกลุ่มสแกมเมอร์ นับตั้งแต่การล่อลวงชาวญี่ปุ่นให้ไปทำงาน การใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์สแกมเมอร์ ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ภายในศูนย์ ตามข้อมูลการสอบสวนจากตำรวจญี่ปุ่น
รายงานระบุว่า ชาวญี่ปุ่นหลายคนที่ถูกจับกุมหลังเดินทางมาทำงานกับกลุ่มสแกมเมอร์นี้ ต่างถูกล่อลวงด้วยประโยคต่าง ๆ เช่น "รายได้สูง" และ "ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ" แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการถูกบังคับให้ทำงานหลอกลวงทางโทรศัพท์ ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดและใช้ความรุนแรงในการควบคุม
ชีวิตในศูนย์สแกมเมอร์
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่เคยทำงานอยู่ในศูนย์สแกมเมอร์ที่ปอยเปต และกลับมาถึงญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ให้การกับตำรวจจังหวัดไอจิ ของญี่ปุ่นว่า "มีชาวญี่ปุ่นมากกว่า 20 คน ใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์สแกมเมอร์ที่ถูกสร้างกำแพงล้อม พวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่หลอกลวงทางโทรศัพท์ที่สำนักงาน"
ข้อมูลดังกล่าวนำมาสู่การส่งตัวผู้ต้องสงสัยชายและหญิงชาวญี่ปุ่น 29 คน กลับมาดำเนินคดีในญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม โดยเชื่อว่าทั้งหมดทำหน้าที่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่โทรศัพท์มาหลอกลวงคนในชาติเดียวกัน
ทางตำรวจเปิดเผยว่า คนเหล่านี้ล้วนใช้ชีวิตอยู่ในอาคารที่พักอาศัยภายในศูนย์สแกมเมอร์ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งร้านสะดวกซื้อ คลินิก ร้านตัดผม และร้านทำเล็บ ที่สร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย เพียงแค่ไม่สามารถออกไปนอกศูนย์หากไม่ได้รับอนุญาต และมี รปภ. ติดอาวุธประจำอยู่ตรงประตู
ผู้ต้องสงสัยบางคนเผยกับเจ้าหน้าที่ว่า พวกเขาเห็นสิงโต เสือ และจระเข้ ถูกเลี้ยงไว้ที่ศูนย์เหล่านั้นด้วย
สำหรับการทำงานของศูนย์สแกมเมอร์ จะมีระบบที่วางไว้ภายใต้การเฝ้าระวังของคนจีนหลายคน ชาวญี่ปุ่นทั้ง 29 คน จะสวมบทเป็นพนักงานบริษัทด้านการสื่อสาร และตำรวจ รวมถึงอาชีพอื่น ๆ โดยทำงานอยู่ในพื้นที่ซึ่งแยกกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พวกเขาต้องโทรศัพท์ไปหลอกลวงเหยื่อตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงสมาร์ตโฟน
สำหรับอาหารที่ได้กิน บางครั้งก็สั่งอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดให้มาส่ง
เวลาเข้านอน-ตื่นนอน ของคนในศูนย์ล้วนถูกกำหนดไว้ และจะมีการบันทึกผลลัพธ์ที่หลอกลวงได้บนกระดานไวท์บอร์ด มีกล้องวงจรปิดจับภาพคนในศูนย์ ซึ่งจะถูกปรับหากมาทำงานสาย
คนที่มาใหม่จะต้องท่องจำคู่มือ และเมื่อจบวันก็จะมีการประชุมทบทวนการทำงานในหมู่คนที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะมีการฟังบันทึกการโทร. ของกันและกัน และพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ เช่น ประโยคที่มีประสิทธิภาพในการหลอกลวงผู้คน
ควบคุมด้วยความรุนแรง อาจถูกทำร้ายหรือใช้ไฟเผา
ผู้ต้องสงสัยจะถูกทุบตีหรือเตะหากพวกเขาหลอกลวงไม่สำเร็จ หรือบอกว่าอยากออกไป บางคนถูกเผาแก้วหูด้วยไฟแช็กไฟแรงสูง ขณะที่บางคนถูกถอดเล็บ
ผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งเผยกับตำรวจญี่ปุ่นว่า "สภาพแวดล้อมรุนแรงกว่าที่คิดไว้"
ในบรรดา 29 คนนี้ มีอยู่หลายคนที่เดินทางไปกัมพูชาเพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้ พวกเขาถูกล่อลวงไปด้วยความคิดว่าจะหาเงินได้ โดยมีการชักชวนผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงการชักชวนแบบเผชิญหน้า ทำให้ทางตำรวจเชื่อว่ามีกลุ่มนายหน้าเฟ้นหาคนอยู่ในญี่ปุ่น รวมถึงคนที่ทำหน้าที่นำทางในกัมพูชา
ทั้งนี้ เชื่อว่าคนในแก๊งจะได้เงินเล็กน้อยมาเป็นรางวัลจากการหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งรางวัลจะสูงขึ้นอีกหากพวกเขาสวมบทตำรวจ เพราะมีความยากสูง
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับเงินมา พบว่าหลายคนใช้เงินไปกับร้านค้าที่เกี่ยวข้องกับบริการทางเพศในศูนย์ หรือแม้แต่ส่งเงินกลับมาจ่ายหนี้ โดยตอนที่ทั้งหมดถูกส่งตัวกลับมาญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ไม่มีเงินสดติดตัว คนที่มีอยู่ก็เหลือแค่ไม่มาก สูงสุดเพียง 2,700 เยน (ราว 580 บาท)
ไม่ใช่แค่กัมพูชา แต่ยังเจอในเมียนมา
ยังมีอีกเคสในพื้นที่ทางตะวันออกของเมียนมา ที่ชาวญี่ปุ่นถูกบังคับให้ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับถูกทุบตี โดยเชื่อว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้รับค่าจ้างหากหลอกลวงได้ไม่ถึงโควตา และจะถูกปืนช็อตไฟฟ้าหากขัดขืน ศูนย์ที่นั่นมีการล้อมลวดหนาม รวมถึงมี รปภ. ติดอาวุธประจำการ เหมือนกับฐานในกัมพูชา
ผู้ต้องสงสัย 2 คนที่ถูกตำรวจญี่ปุ่นจับกุมในเดือนเมษายน จะบอกคนอื่น ๆ ว่าตัวเองทำงานพาร์ทไทม์ที่ให้ค่าตอบแทนสูง อย่างไรก็ตาม เงินรางวัลที่ได้รับมานั้นล้วนถูกนำมาใช้เป็นค่าครองชีพในศูนย์ โดยตอนที่ถูกจับทั้งคู่มีเงินติดตัวไม่ถึง 10,000 เยน (ราว 2,100 บาท)
ด้านตำรวจอาวุโสที่เคยสืบสวนคดีเกี่ยวกับกัมพูชาและเมียนมา เผยว่า "เพื่อที่จะใช้ชีวิต ผู้คนจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินในศูนย์ มันเป็นระบบที่รางวัลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะถูกคืนกลับไปสู่การปฏิบัติงานในศูนย์"
ขอบคุณข้อมูลจาก






