หลายคนอาจคิดว่า ปิโตรเคมี เป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมนี้อยู่รอบตัวเราในทุกวัน มาทำความรู้จักว่าปิโตรเคมีคืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อชีวิตและเศรษฐกิจไทยกัน
รู้หรือไม่ว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ? เพราะแทบทุกสิ่งรอบตัวล้วนมีร่องรอยจากปิโตรเคมีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า แว่นตา ยารักษาโรค ไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และวัสดุก่อสร้าง ล้วนมีต้นทางจากกระบวนการนี้ทั้งสิ้น โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีถือกำเนิดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และจนถึงวันนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทย โดยอาศัยการเปลี่ยนวัตถุดิบสำคัญ 6 อย่าง ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ ถ่านหิน แร่ธาตุ พืชผลทางการเกษตร และไขมันสัตว์ ผ่านกระบวนการทางเคมีและฟิสิกส์ที่ซับซ้อน จนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สารพัดประโยชน์ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน
ปิโตรเลียม จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เรียกรวมกันว่า ปิโตรเลียม เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตที่ทับถมกันใต้ชั้นหินเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี โดยทั่วโลกใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตปิโตรเคมีมากถึง 53% (โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง) รองลงมาคือน้ำมันดิบ 44% (นิยมในยุโรปและเอเชีย) และอีกประมาณ 3% มาจากถ่านหินหรือพืชผลทางการเกษตรอย่างมันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และปาล์ม
เส้นทางพัฒนาการปิโตรเคมีไทย จากวิกฤตสู่โอกาสทอง
การเริ่มต้นของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยมาจากช่วงเวลาวิกฤต ในปี พ.ศ. 2482-2488 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ต้องนำเข้าด้วยราคาแพงมาก จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2514 เมื่อรัฐบาลเริ่มส่งเสริมการสำรวจปิโตรเลียมในทะเล และในปี 2516 ไทยประสบความสำเร็จค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นครั้งแรก นำไปสู่การก่อตั้ง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ในปี 2521 เพื่อดูแลด้านพลังงานของประเทศ และต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเต็มรูปแบบ
ช่วงนั้นกลุ่ม OPEC คุมราคาน้ำมันทำให้ราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แถมความต้องการใช้พลังงานในไทยก็พุ่งไม่หยุด ทั้งจากโรงไฟฟ้า โรงงาน ครัวเรือน และภาคขนส่ง รัฐบาลเลยตัดสินใจลงทุนสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยมาขึ้นบกที่ระยอง และสร้างท่อส่งก๊าซบนบกเส้นแรกในปี 2523 เพื่อส่งไปเป็นเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าบางปะกงและพระนครใต้
ต่อยอดไปอีกขั้นในปี 2527 ด้วยการก่อตั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 ซึ่งเป็นโรงแยกที่นำสารมีค่าจากก๊าซธรรมชาติอย่างก๊าซอีเทน ก๊าซโพรเพน ก๊าซบิวเทน มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ต้องการในประเทศอย่างมาก
รัฐบาลยุคนั้นมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มมูลค่าจากก๊าซธรรมชาติและลดการนำเข้า โดยมีการวางแผนพัฒนาปิโตรเคมีถึง 2 ระยะ (ปี 2523-2532 และ 2533-2547) ซึ่งพื้นที่หลักของอุตสาหกรรมนี้คือ ภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่ศรีราชา จ.ชลบุรี และมาบตาพุด จ.ระยอง มีกำลังการผลิตปิโตรเคมีรวม 35 ล้านตันเลยทีเดียว (PTIT 2022)
จากอดีตถึงปัจจุบัน คลื่นพัฒนาปิโตรเคมี 4 ระลอก
การผลักดันอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยแบ่งเป็น 4 คลื่นใหญ่ ๆ ตามแผนพัฒนาประเทศ ดังนี้
- คลื่นลูกที่ 1 (ปี 2516-2532) : ยุคแห่งการค้นพบก๊าซธรรมชาติครั้งแรก ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพยากร ลดการนำเข้า และสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
- คลื่นลูกที่ 2 (ปี 2533-2553) : ยุคแห่งการเปิดเสรีปิโตรเคมี ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด และเริ่มส่งออกไปต่างประเทศ
- คลื่นลูกที่ 3 (ปี 2554-ปัจจุบัน) : ยุคที่โรงงานปิโตรเคมีครบวงจรขยายและควบรวมกิจการ ทำให้เราแข่งขันได้มากขึ้นและเศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น
- คลื่นลูกใหม่ (ปัจจุบัน-อนาคต) : อุตสาหกรรมปิโตรเคมีแห่งอนาคต ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมกับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC และ EECi
การมีแผนพัฒนาที่ชัดเจนแบบนี้ทำให้ จ.ระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เติบโตอย่างก้าวกระโดดและสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่มากถึง 9 แสนล้านบาท ตั้งแต่มีการตั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 ในปี 2527 และโรงโอเลฟินส์แห่งแรกของไทยในปี 2535
ปัจจุบันไทยมีโรงแยกก๊าซธรรมชาติรวม 6 แห่ง โดย 5 แห่งตั้งอยู่ที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง ส่วนอีกแห่งอยู่ที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช และในปี 2565 ไทยมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีรวมประมาณ 36 ล้านตัน ซึ่ง 51% มาจากกลุ่ม ปตท. (โดยส่วนใหญ่ผลิตจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ถึง 39%)
กระบวนการสร้างมูลค่า : จากก๊าซธรรมชาติสู่ผลิตภัณฑ์ชีวิตประจำวัน
กระบวนการผลิตปิโตรเคมีแบ่งง่าย ๆ เป็น 2 เส้นทางหลัก คือ
เส้นทางที่ 1 : นำก๊าซธรรมชาติเข้าโรงแยกก๊าซ หรือน้ำมันดิบเข้าโรงกลั่น เพื่อผลิตสารตั้งต้น 2 กลุ่มสำคัญ คือ โอเลฟินส์ (เอทิลีน โพรพิลีน บิวทาไดอีน) และอะโรเมติก (เบนซีน โทลูอีน ไซลีน) จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทางเคมี ที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
- ขั้นต้น : ผลิตสารพื้นฐาน ได้แก่ เอทิลีน โพรพิลีน บิวทาไดอีน เบนซีน โทลูอีน และไซลีน เพื่อนําไปผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอื่น ๆ
- ขั้นกลาง : นำสารขั้นต้นมาผลิตต่อ เช่น ไวนิลคลอไรด์และสไตรีน
- ขั้นปลาย : ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป 4 กลุ่มหลัก คือ
- เม็ดพลาสติก (Plastic Resins) : PET (ขวดน้ำดื่ม), HDPE (ขวดแชมพู ลังพลาสติก), PVC (ท่อประปา แผ่นฟิล์มห่ออาหาร), PP (ถาดอาหาร), PS (วัสดุกันกระแทก แผ่นฉนวนกันความร้อน) และพลาสติกอื่น ๆ ที่นำมาหลอมใหม่ได้ เป็นต้น
- เส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic Fibers) : พอลิเอสเตอร์และไนลอน สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ
- ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber / Elastomers) : สำหรับยางรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องอุปโภค-บริโภค
- สารเคลือบผิวและกาว (Synthetic Coating and Adhesive Materials) : ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิต
เส้นทางที่ 2 : นำผลผลิตเกษตร เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ปาล์ม มากลั่นทางเคมีชีวภาพ (Biorefinery) เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งสามารถผลิตได้ทั้งเชื้อเพลิงชีวภาพ (เช่น เอทานอลในแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล) พลาสติกชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปาล์มน้ำมันยังนำมาผลิตเครื่องสำอางได้ด้วย
ลองคิดดูสิว่า น้ำมันดิบ 1 บาร์เรล (เท่ากับก๊าซธรรมชาติ 6,000 ลูกบาศก์ฟุต) สามารถผลิตสารได้ 4 ชนิดและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้มากมายแค่ไหน ?
ลองคิดดูสิว่า น้ำมันดิบ 1 บาร์เรล (เท่ากับก๊าซธรรมชาติ 6,000 ลูกบาศก์ฟุต) สามารถผลิตสารได้ 4 ชนิดและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้มากมายแค่ไหน ?
- เอทิลีน : ทำเสื้อได้ 21 ตัว, ถังขยะพลาสติก 6 ถังใหญ่, แผ่นฟิล์ม 276 ตร.ม., ท่อน้ำยาว 160 หลา
- โพรพิลีน : ทำกล่องใส่เบียร์ 4 ลัง, เชือกเกลียว 30 เส้น, เสื้อ 21 ตัว, ผ้าห่ม 5 ผืน
- บิวทาไดอีน บิวทีน : ทำล้อรถยนต์ 1 เส้น, ล้อจักรยาน 13 เส้น, ยางในล้อรถยนต์ 3 เส้น
- อะโรมาติก : ทำถุงน่องได้ 500 คู่
จะเห็นได้ว่าการนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมาใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้น เพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10-25 เท่า ดีกว่าเอาไปใช้เป็นแค่เชื้อเพลิงเฉย ๆ ส่วนวัตถุดิบชีวภาพก็เพิ่มคุณค่าได้ถึง 40 เท่าเลยทีเดียว !
ไทยได้อะไรจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีสร้างคุณค่ามหาศาลให้กับประเทศไทย ดังนี้
- เม็ดเงินลงทุน : มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1.25 ล้านล้านบาท
- รายได้ : สร้างรายได้ถึง 836,000 ล้านบาท คิดเป็น 5.2% ของ GDP ประเทศไทย (ในช่วงปิโตรเคมีต้นน้ำและกลางน้ำ)
- การจ้างงาน : สร้างงานกว่า 414,000 ตำแหน่ง
- SME และการส่งออก : เกิดผู้ประกอบการ SME กว่า 3,000 รายในอุตสาหกรรมปลายน้ำ และสร้างมูลค่าการส่งออกถึง 486,000 ล้านบาท หรือ 5.7% ของการส่งออกทั้งหมด
- พัฒนาท้องถิ่น : ทำให้ จ.ระยอง ซึ่งเป็นฐานหลักของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กลายเป็นจังหวัดที่มี GDP สูงที่สุดของประเทศอย่างต่อเนื่อง (ข้อมูลจาก PTIT 2023 / ข้อมูล ณ ปี 2021 ยกเว้นมูลค่าการลงทุน ปี 1990-2021)
พูดได้เลยว่า ปิโตรเคมีคือฟันเฟืองหลักที่คอยพัฒนาและหล่อเลี้ยงประเทศไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคง
ปิโตรเคมียุคใหม่ สู่ความยั่งยืนด้วย Circular Economy และ ESG
แม้ว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะสำคัญและสร้างมูลค่ามหาศาล แต่ก็กำลังเจอความท้าทายหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจถดถอย ราคาพลังงานผันผวน ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้สินค้าล้นตลาด และที่สำคัญคือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องโลกร้อนและการจัดการขยะพลาสติก
ประเทศไทยก็มี โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศรายได้สูงและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ดังนั้น อุตสาหกรรมปิโตรเคมียุคใหม่ นอกจากจะต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความยั่งยืน (Sustainability) โดยเฉพาะการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับกระบวนการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานด้วยแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล หรือวัตถุดิบที่รีไซเคิลง่าย การใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อลดของเสีย ประหยัดพลังงาน และเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานได้นานขึ้นและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ และการคัดแยกและรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ เพื่อนำทรัพยากรกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ มูลนิธิ Ellen MacArthur คาดการณ์ว่า ถ้าใช้หลัก Circular Economy จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ถึง 20% หรือประมาณ 1 หมื่นล้านตัน ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050)
ปัจจุบัน 27 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 90% ของ GDP โลก รวมถึงประเทศไทย ก็กำลังผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการขยะพลาสติกและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าขึ้น เช่น เก็บภาษีการฝังกลบขยะ ห้ามฝังกลบ ส่งเสริมการรีไซเคิล ส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ที่ใช้หลัก Extended Producer Responsibility (EPR) กำหนดให้ผู้ผลิตรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์ ห้ามใช้ถุงพลาสติก และกำลังผลักดันสนธิสัญญาพลาสติกโลกเพื่อยุติมลพิษพลาสติก
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะมีกฎหมายและนโยบายด้าน ESG (Environmental, Social, Governance หรือ สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) มากขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งการทำธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับ ESG จะช่วยให้องค์กรลดความเสี่ยง ทำให้ธุรกิจมีความมั่นคงในระยะยาว ช่วยดึงดูดบุคลากร เพราะมีผลสำรวจระบุว่า คนรุ่นใหม่กว่า 40% เลือกทำงานกับบริษัทที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันยังสามารถขยายฐานลูกค้าด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะมีผลสำรวจพบว่า ลูกค้ากว่า 20% ยอมจ่ายแพงขึ้น 10% เพื่อซื้อสินค้าที่ยั่งยืน นอกจากนี้การดำเนินงานในลักษณะนี้ยังช่วยให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ เช่น Green Finance และช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้มีโอกาสทำกำไรต่อเนื่องในระยะยาวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
อุตสาหกรรมปิโตรเคมี คือพลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่การผลิต การส่งออก การจ้างงาน และการสร้างนวัตกรรมในอนาคต ในวันที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น ไทยก็พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและเป็นมิตรกับโลกไปพร้อมกัน






