ลูกนอนเตียงเก่าแม่ตามความเชื่อ แค่ 10 วันล้มป่วย เกือบเสียชีวิตไปอีกคน ไม่คาดคิดไขปริศนาอาการป่วยแม่ก่อนดับ

แต่ละท้องถิ่นต่างก็มีวัฒนธรรมและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม
ใครจะคิดว่าลูกชายคนหนึ่งกลับลงเอยด้วยการติดโรคร้ายแรงจนเกือบเสียชีวิต
จากการนอนบนเตียงของแม่ผู้ล่วงลับ
ตามประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในชุมชนของเขา
จากรายงานของเว็บไซต์เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 เผยว่า นายเฉิน วัย 60 กว่าปี อาศัยอยู่ในชนบทอันห่างไกลของมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน แม่ของเขาอายุ 86 ปีแล้ว แต่ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงและออกไปทำงานในไร่ทุกวัน แต่หลังจากช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ผ่านมา อยู่ ๆ เธอก็มีอาการท้องเสียและอาเจียน ก่อนจะเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
การจากไปของผู้เป็นแม่ ทำให้นายเฉินเศร้าเสียใจมาก ในฐานะลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน เขาไม่เพียงแค่ต้องจัดการเรื่องพิธีศพของเธอ แต่ยังต้องทำพิธีกรรม "กดทับที่นอนผี" ที่ผู้คนในหมู่บ้านทำสืบต่อกันมา เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของผู้ตาย
พิธีกรรมดังกล่าวจะให้คนในครอบครัวมานอนบนที่นอนของผู้ล่วงลับ ทำเช่นนี้ไปจนถึงวันที่ 35 หลังจากเสียชีวิต ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยนำทางดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิอื่นอย่างสงบสุข และเชื่อว่าวิญญาณจะค่อย ๆ จางหายไป สู่สถานที่พักผ่อนสุดท้าย ในทุก ๆ 7 วันที่ผ่านไป
อย่างไรก็ตาม หลังนอนบนเตียงของแม่ได้เพียง 10 วัน นายเฉินก็เริ่มรู้สึกอ่อนเพลียและเจ็บกล้ามเนื้อ จากนั้นเขาก็เริ่มท้องเสียและอาเจียนเหมือนกับแม่ในช่วงก่อนเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบไปโรงพยาบาล และได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าติดไวรัสที่เกิดจากเห็บ
โดยไวรัสนั้นจะทำให้มีไข้ ไม่สบายท้อง ในกรณีรุนแรงอาจจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ จนอวัยวะล้มเหลวได้ ขณะที่แพทย์เองคิดว่าแม่ของนายเฉินก็น่าจะติดไวรัสชนิดเดียวกัน จากการโดนเห็บกัด
การที่นายเฉินนอนบนเตียงของแม่ ทำให้เขาสัมผัสโดนสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของผู้ตาย กระทั่งติดโรคจากไวรัสตัวเดียวกัน ซึ่งหลังจากรักษา อาการของเขาก็ดีขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ แพทย์เตือนประชาชนให้ใช้ยาจำกัดแมลง และรีบดึงเอาชิ้นส่วนของเห็บออกทันทีหลังถูกกัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเพณีของจีนเกี่ยวกับงานศพ ที่ค่อนข้างจะดูสวนทางกับพิธีกรรมในหมู่บ้านของนายเฉิน นั้นคือการนำเอาสิ่งของผู้ตายทั้งหมดไปเผาทิ้งเพื่อป้องกันโชคร้าย ซึ่งบางคนก็มองว่าจริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นกลอุบายในการป้องกันการแพร่กระจายของโรค






